ภาครัฐหยุดนำเข้าก๊าซแอลพีจี การใช้ลด/โรงกลั่นผลิตเพิ่มชะลอเปิดประมูลเสรีปีหน้า

09 ก.ค. 2559 | 12:00 น.
กรมธุรกิจพลังงานเผยยอดใช้แอลพีจีภาคปิโตรเคมี-ขนส่งลด ขณะที่กำลังการผลิตจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพิ่มเป็น 4.6 แสนตันต่อเดือน จึงไม่ต้องนำเข้าแอลพีจีในช่วง 2-3 เดือนนี้ พร้อมเสนอ กบง.ชะลอแผนเปิดประมูลนำเข้าเสรีไปก่อน คาดรอบแรกเปิดปี 2560

นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ในประเทศปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีในช่วงปีนี้ปรับลดลงมาอยู่ระดับเฉลี่ย 1.4 แสนตันต่อเดือน เมื่อเทียบกับปี 2557 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 แสนตันต่อเดือน ปี 2558 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 แสนตันต่อเดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผู้ประกอบการหันไปใช้แนฟทา เป็นวัตถุดิบผลิตปิโตรเคมีแทนแอลพีจี ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ

ขณะที่ความต้องการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง ปรับลดลงเช่นเดียวกัน โดยมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1.2 แสนตันต่อเดือน จากปี 2557 เคยขึ้นไปอยู่ในระดับเฉลี่ย 1.65 แสนตันต่อเดือน ปี 2558 เฉลี่ยที่ 1.4 แสนตันต่อเดือน เนื่องจากรถยนต์ที่เคยใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงหันไปใช้น้ำมันแทน เพราะราคาแตกต่างกันไม่มากนัก

นอกจากนี้ กำลังการผลิตแอลพีจีจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.6 แสนตันต่อเดือน เมื่อเทียบกับปี 2557 และปี 2558 ผลิตได้ที่ระดับ 4.5 แสนตันต่อเดือน ดังนั้น เมื่อความต้องการใช้ลดลง ประกอบกับปริมาณการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำแอลพีจี จากต่างประเทศเข้ามา ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนนี้ แต่ในช่วงเดือนตุลาคม คาดว่าจะนำเข้าเพียง 1 ลำเรือ ประมาณ 4 หมื่นตัน และไม่ต้องนำเข้าอีกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นผลดีกับประเทศที่ไม่ต้องเสียเงินในการนำแอลพีแอลเข้ามา

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ทางกรมจะเสนอหลักเกณฑ์การนำเข้าแอลพีจีเสรีให้ที่ประชุมพิจารณาไว้ก่อน แต่การประมูลนำเข้าแอลพีจีนั้น จะไม่มีการประกาศโควตาออกมา เพราะการนำเข้ายังไม่มีความจำเป็นต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ไม่ได้สูงขึ้น ดังนั้น อาจจะได้เห็นการเปิดประมูลนำเข้าแอลพีจีรอบแรกในช่วงปี 2560 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้น

ส่วนการประชุมกบง.ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ จะมีการหารือราคาขายปลีกแอลพีจีในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มลดลง โดยล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 301 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เทียบกับเดือนก่อนอยู่ที่ 344 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาขายปลีกในประเทศปรับลดลงได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม "การนำเข้าแอลพีจีในปีนี้อาจจะนำเข้ามา 1 เดือนเว้น 2 เดือน เพราะความต้องการใช้ลดลง เมื่อนำเข้ามา 1 ลำเรือ จะมีส่วนเกินประมาณ 2 หมื่นตัน จะนำมาใช้ในเดือนถัดไปได้ หากไม่พอก็นำเข้า ขณะที่การเปิดประมูลนำเข้าเสรีชะลอไปก่อน ปีนี้คงยังไม่จำเป็นต้องเปิดโดยจะให้ ปตท. ทำหน้าที่นำเข้าไปก่อน"

สำหรับกรณีคลังเก็บแอลพีจีที่เขาบ่อยา จ.ชลบุรี ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ส่วนขยาย 2.5 แสนตัน อยู่ระหว่างทดสอบเดินเครื่อง หาก ปตท.ต้องการนำเข้าแอลพีจีเพื่อส่งออก ทางกรมไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่ส่งหนังสือขออนุญาตแจ้งมายังกรมเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันทาง ปตท.ส่งออกแอลพีจีไปยังประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว แต่เป็นในส่วนของคลังแอลพีจีเฟส 1 ไม่ใช่ส่วนขยาย แต่ที่ทาง ปตท.แจ้งว่ายังรอความชัดเจนเรื่องการนำเข้าแอลพีจีเพื่อส่งออกจากทางกรม ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปเรื่องค่าเช่าออกมา

นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.เตรียมเสนอร่างหลักเกณฑ์เปิดประมูลนำเข้าแอลพีจีต่อ กบง. ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ โดยเฉพาะจะมีการกำหนดค่าผ่านคลังของ ปตท.สำหรับให้ผู้นำเข้ารายอื่นที่ต้องการเช่าคลังดังกล่าว เบื้องต้นกำหนดให้ ปตท.คิดค่าเช่าในลักษณะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องยึดผลตอบแทนการเป็นรัฐวิสาหกิจไม่สูงเกินไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,172 วันที่ 7 - 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559