NETBAY พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 16 มิ.ย.นี้

15 มิ.ย. 2559 | 08:30 น.
นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY ผู้นำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้าน e-Logistics Trading และ e-Business Services ครบวงจร ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิตอล (Digital Economy) ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ในวันที่ 16 มิถุนายน 2559 โดยใช้ชื่อย่อ ‘NETBAY’ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หลังได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในราคาจองซื้อ 4 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 8-10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีความมั่นใจว่าหุ้น NETBAY จะได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี โดยเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีซอฟท์แวร์ e-Logistics Trading และ e-Business Services ที่ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ (ลูกค้าที่ใช้บริการ) กลางน้ำ (ระบบ Gateway ของบริษัทฯ) และปลายน้ำ (การเชื่อมโยงการทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ) อย่างครบวงจร เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางการให้บริการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมทางออนไลน์ระหว่างหน่วยงานต่างๆ จากจุดเดียว (Omni Channel Connectivity Gateway) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ศูนย์ประมวลผล ศูนย์ประมวลผลสำรอง ระบบซอฟท์แวร์ปฏิบัติการที่ใช้รองรับการทำธุรกรรมรับ-ส่งข้อมูล ระบบเครือข่ายและระบบป้องกันความปลอดภัยข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนและลดต้นทุนจากการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แทนการใช้เอกสาร

สำหรับจุดแข็งของบริษัทฯ คือมีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ICT ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จัดจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์และเน็ตเวิร์ค ให้แก่ลูกค้าภาครัฐหรือเอกชนเป็นรายโครงการ (Software Integrators) หรือเป็นผู้ประกอบการที่รับจ้างผลิตและพัฒนาซอฟท์แวร์ (Software House)  แต่ บมจ.เน็ตเบย์ นับเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ที่ให้บริการในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) หรือซอฟท์แวร์ที่ให้บริการผ่านระบบออนไลน์ภายใต้แนวคิด Better Faster Cheaper โดยลูกค้าจะไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนซื้อซอฟท์แวร์ รวมถึงไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์และค่าบำรุงรักษารายปี ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์เพื่อทดแทนการใช้เอกสาร รวมถึงช่วยควบคุมต้นทุนเนื่องจากจะคิดค่าใช้บริการตามปริมาณการใช้งานจริงหรือคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ มีความมั่นคงสม่ำเสมอและเติบโตตามฐานจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบันบริษัทฯ มีบริการแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มบริการ e-Logistic Trading เป็นการให้บริการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) เกี่ยวกับพิธีการศุลกากร 2.กลุ่มบริการ e-Business Services ได้แก่ การรายงานข้อมูลธุรกรรมลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินและให้บริการข้อมูลในการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และ 3.กลุ่ม Projects และอื่นๆ ได้แก่ การพัฒนาระบบงานสารสนเทศภายในแก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิตอล (Digital Business Transformation)

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายการให้บริการธุรกรรมข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ไปยังฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ e-DLT (Department of Land Transport) เพื่อให้บริการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลการชำระภาษีรถยนต์ทุกประเภทระหว่างกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายและข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก โดยระบบดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สามารถชำระภาษีรถยนต์ทุกประเภททางระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายรายการพร้อมกันในคราวเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายการชำระภาษีรถยนต์ รวมถึงช่วยลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก

“เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำที่มั่นคงในระยะยาวและผลักดันการเติบโต จากการขยายฐานลูกค้าผู้ใช้บริการธุรกรรมออนไลน์ไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลออนไลน์ทดแทนการใช้งานด้านเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสของ NETBAY ในการให้บริการแก่ลูกค้า”

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของเน็ตเบย์ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของตนเองเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ช่วยให้ลูกค้าลดขั้นตอนและความซับซ้อนในการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมทางออนไลน์ จึงทำให้เน็ตเบย์มีฐานรายได้ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอจากปริมาณลูกค้าที่มาใช้บริการธุรกรรมทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยผลการดำเนินงานในปี 2556-2558 บมจ.เน็ตเบย์ มีรายได้จากการให้บริการ 149.30, 184.74  และ 223.81 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 1/59 มีรายได้จากการให้บริการรวมทั้งสิ้น 63.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.45% และมีกำไรสุทธิ 19.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.88% สะท้อนถึงขีดความสามารถการทำรายได้และกำไรที่ดี นอกจากนี้ยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 เพียง 0.42 เท่า (ปัจจุบันไม่มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย) สะท้อนว่าบริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง