กนง.และกนส.ชี้ภาพรวมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยอยู่ในเกณฑ์ดี

10 มิ.ย. 2559 | 07:55 น.
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยผลการหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) วันที่ 9 มิถุนายน 2559 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินของไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

ในภาพรวมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็ง แม้ว่าคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้จะด้อยลงทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและปัญหาภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)และภาคครัวเรือนเกษตร แต่สถาบันการเงินมีเงินส ารองและเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง สำหรับเสถียรภาพการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีเช่นกัน สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่องและเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบที่อาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศได้ อาทิ ความไม่แน่นอนของแนวนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก การผิดนัดช าระหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศจีน รวมทั้งการที่สหราชอาณาจักรอาจถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป

ภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ าเป็นเวลานาน ทำให้พฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search for yield) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมามีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น ตราสารที่มีความซับซ้อน และ ตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated bonds) ซึ่งนักลงทุนบางส่วนอาจประเมินความเสี่ยงต่ ากว่าที่ควรจะเป็น (Underpricing of risks) ดังนั้น นักลงทุนควรเข้าใจถึงความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ รวมถึงผู้ขายผลิตภัณฑ์ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนโปร่งใส และครบถ้วนแก่นักลงทุน โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับความเสี่ยง ทั้งนี้ หน่วยงานก ากับดูแลทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ส านักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และส านักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้ระมัดระวังและติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดมา และได้ปรับปรุงกฎเกณฑ์การก ากับดูแลให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา

นอกจากนี้ ที่ประชุมสนับสนุนแนวทางที่ภาครัฐจะให้ความสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและปรัชญาการดำเนินงานของสหกรณ์ เนื่องจากสหกรณ์ออมทรัพย์มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความเชื่อมโยงกับระบบการเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงมีผู้ที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง