ถึงรอบเก็งกำไรหุ้นส่งออก นักวิเคราะห์เตือนตลาดทุนโลกผันผวนถึงสิ้นมิถุนายน

26 พ.ค. 2559 | 00:00 น.
ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่ 3 ข่าวลบกดดัน ราคานํ้ามันดิบปรับตัวลง เงินบาทอ่อนค่าตํ่าสุดในรอบ 3 เดือน เฟดส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นดอกเบี้ยมิ.ย.นี้ แนะเก็งกำไรหุ้นกลุ่มอาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้อานิสงส์จากค่าบาทนักวิเคราะห์มองตลาดทุนโลกผันผวนแรงขึ้นในช่วง 1 เดือนข้างหน้า บลจ.ไทยพาณิชย์ฯจับทางหุ้นเล็กสหรัฐฯ-ยุโรปเริ่มฟื้นตัว DRT สุดทนราคาหุ้นตํ่ากว่าปัจจัยพื้นฐาน เดินหน้าซื้อหุ้นคืน 520 ล้านบาท

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยใหม่มาสนับสนุน โดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ค่าเงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 3 เดือนมาแตะที่ 35.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะเป็นผลดีต่อการส่งออกและกลับกดดันให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยได้อีก รวมถึงความกังวลของนักลงทุนที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบเดือนมิถุนายนนี้

ดังนั้นประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มอ่อนตัวลงโดยมีแนวรับที่บริเวณ 1,350 - 1,360 จุด แนะนำเข้าซื้อในช่วงอ่อนตัวแบบเลือกเป็นรายตัว ได้แก่ กลุ่มส่งออก เช่น กลุ่มอาหาร และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน

บทวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ฯ ระบุว่าตลาดหุ้นไทยหมดช่วงการเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไตรมาส 1/2559 และหันมามองความไม่แน่นอนต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับปัจจัย Brexit หรือการโหวตว่าจะอยู่หรือออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู)ของประเทศอังกฤษ ที่อาจเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ดังนั้นมีโอกาสทำให้ตลาดทุนโลกมีความผันผวนมากขึ้นในช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.ทรีนีตี้ฯ คงแนะนำ ให้รอ หรือWait & See ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือบอนด์ยีลด์ กำลังปรับตัวรีบาวด์ขึ้น และรอจนกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับตัวลงมาที่จุดซื้อแรกซึ่งบล.ทรีนีตี้ฯให้ไว้ที่บริเวณ 1350-1370 จุด โดยหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาบริเวณดังกล่าว มองกลุ่มอาหาร (บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร :CPF , บมจ.ไทยยูนี่ยน กรุ๊ป:TU ,และบมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป :TFG) และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (KCE ) เป็นกลุ่มที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนจาก 2 เหตุผล คือ มีโมเมนตัมของกำไรที่ดี ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 นี้ และได้รับจิตวิทยาเชิงบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงหลักเรื่องการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่ทั้งนี้บลจ.ไทยพาณิชย์ฯ มองว่ายังมีสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบที่ดีโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯและยุโรป เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง จากอัตราการจ้างงานที่กลับเข้าสู่ระดับปกติและการบริโภคซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่

โดยราคาหุ้นขนาดเล็กเริ่มปรับฐานมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2558 จนถึงปัจจุบัน และยังมีระดับราคาที่น่าสนใจกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ นอกจากนี้นักวิเคราะห์ต่างชาติยังคาดการณ์การเติบโตของผลกําไรต่อหุ้น (EPS) ของหุ้นขนาดเล็กนั้นจะสามารถเติบโตได้ 56.27 % สูงกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต14.95 % (ที่มา บลูมเบิร์ก ณ วันที่ 23 พ.ค.59)

ขณะที่ในส่วนของยุโรปนั้นธนาคารกลางยุโรปยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายการเงินทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบและการซื้อสินทรัพย์(QE) นั้น ทำให้ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรยังคงอยู่ในระดับต่ำจนถึงติดลบต่อไป และอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปีต่อๆ ไป ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในหุ้นมากขึ้น โดยมองว่าเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มจะพื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และประกอบกับนโยบายการสนับสนุนการเร่งปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กจะช่วยให้ธุรกิจดังกล่าวสามารถเข้าถึงสภาพคล่องและเม็ดเงินลงทุนได้มากขึ้น และมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลงมาก ซึ่งจะส่งผลดีกับผลประกอบการของหุ้นขนาดเล็ก (EPS) ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้มากถึงร้อยละ 201.59 ต่อปีและคาดว่าจะเติบโตมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งจะเติบโตได้เพียงร้อยละ 86.35 ต่อปี (ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 23/05/2559)

สำหรับบลจ.ไทยพาณิชย์ฯ ได้ออกกองทุนเพื่อลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ และยุโรป พร้อมกัน 2 กองทุน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ยูเอสสมอลแคป มูลค่าโครงการ 5 พันล้านบาท และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรปสมอลแคป มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท

นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT)ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคาไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบาและบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์“ตราเพชร” เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม2559 มีมติเห็นชอบให้ซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไปในราคา 5.20 บาทต่อหุ้น จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน 100 ล้านหุ้นคิดเป็น 9.54% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด รวมวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนอยู่ที่ 520 ล้านบาท การซื้อหุ้นคืนดังกล่าว จะดำเนินการระหว่างวันที่ 20-29มิถุนายน 2559 นี้

สาเหตุที่ซื้อหุ้นคืนเนื่องจากคณะกรรมการบริษัท มองว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท ที่มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้การซื้อหุ้นคืนยังส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นที่สามารถช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น (ROE) อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) รวมทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล มีแนวโน้มที่สูงขึ้น และยังเป็นการส่งสัญญาณให้แก่นักลงทุนถึงความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงินที่ดีของ DRT ที่มีความพร้อมและเพียงพอต่อการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคตได้ดีอีกด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,160 วันที่ 26 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559