เยอรมนี...ผู้นำกระแสพลังงานหมุนเวียน
หลายคนตั้งคำถามว่า การใช้พลังงานหมุนเวียนนั้นจะสามารถเข้ามาตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากๆของประชาชนในเมืองใหญ่ได้มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้หลายประเทศโดยเฉพาะในแถบยุโรป ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นต้นกำเนิดในการปั่นกระแสไฟฟ้าถึง 100% ในอนาคตอันใกล้ และไม่ใช่ 100% ในระดับเมืองหรือระดับจังหวัดเท่านั้น แต่เป็นการตั้งเป้าในระดับรัฐและระดับประเทศเลยทีเดียว และบางประเทศก็สามารถทำได้ตามที่วางเป้าหมายไว้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
[caption id="attachment_56792" align="aligncenter" width="500"]
กระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน[/caption]
ในปี 2558 มี 2 รัฐในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี คือ รัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์น และรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ปริมาณมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งรัฐ
[caption id="attachment_56791" align="aligncenter" width="500"]
กังหันลมนอกชายฝั่ง[/caption]
ข้อมูลจากวารสาร Renewables International สิ่งพิมพ์ด้านพลังงานสะอาดของเยอรมนี ระบุว่า ในปี 2558 รัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์น ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศโปแลนด์และทะเลบอลติก สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2.6 เทอราวัตต์ชั่วโมง (TWh) จากกังหันลมบนชายฝั่ง และ 0.6 TWh จากกังหันลมนอกชายฝั่ง บวกกับ 2.3 กิกะวัตต์ชั่วโมงจาก (GWh) พลังงานชีวมวล รวมเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 130% ขณะที่รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศเดนมาร์ก ทะเลเหนือและทะเลบอลติก ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% โดยสัดส่วนมากที่สุดมาจากพลังงานชีวมวล (46%) พลังงานลม (44%) และอื่นๆ (10%)
การที่ทั้ง 2 รัฐสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ถึง 100% ง่ายกว่ารัฐอื่นๆที่มีประชากรหนาแน่นกว่า เนื่องจากเป็นรัฐที่ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่เหมาะสำหรับการตั้งฟาร์มกังหันลม โซลาร์ฟาร์ม หรือโครงการพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อีกทั้งการที่มีประชากรน้อยกว่าก็ย่อมจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ารัฐที่มีประชากรหนาแน่น
กรณีของรัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์นนั้น สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากพอที่จะส่งขายให้พื้นที่อื่นๆในบริเวณใกล้เคียงด้วย แต่ในช่วงฤดูกาลที่การผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงแดดและพลังงานลมไม่พอเพียง ก็ยังคงต้องมีการนำเข้าไฟฟ้าจากรัฐอื่นๆอยู่บ้าง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,160 วันที่ 26 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
[caption id="attachment_56792" align="aligncenter" width="500"]
ในปี 2558 มี 2 รัฐในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี คือ รัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์น และรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ปริมาณมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งรัฐ
[caption id="attachment_56791" align="aligncenter" width="500"]
ข้อมูลจากวารสาร Renewables International สิ่งพิมพ์ด้านพลังงานสะอาดของเยอรมนี ระบุว่า ในปี 2558 รัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์น ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศโปแลนด์และทะเลบอลติก สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2.6 เทอราวัตต์ชั่วโมง (TWh) จากกังหันลมบนชายฝั่ง และ 0.6 TWh จากกังหันลมนอกชายฝั่ง บวกกับ 2.3 กิกะวัตต์ชั่วโมงจาก (GWh) พลังงานชีวมวล รวมเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 130% ขณะที่รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศเดนมาร์ก ทะเลเหนือและทะเลบอลติก ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% โดยสัดส่วนมากที่สุดมาจากพลังงานชีวมวล (46%) พลังงานลม (44%) และอื่นๆ (10%)
การที่ทั้ง 2 รัฐสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ถึง 100% ง่ายกว่ารัฐอื่นๆที่มีประชากรหนาแน่นกว่า เนื่องจากเป็นรัฐที่ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่เหมาะสำหรับการตั้งฟาร์มกังหันลม โซลาร์ฟาร์ม หรือโครงการพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อีกทั้งการที่มีประชากรน้อยกว่าก็ย่อมจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ารัฐที่มีประชากรหนาแน่น
กรณีของรัฐเมคเลนบวร์ก-ฟอร์พอมแมร์นนั้น สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากพอที่จะส่งขายให้พื้นที่อื่นๆในบริเวณใกล้เคียงด้วย แต่ในช่วงฤดูกาลที่การผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงแดดและพลังงานลมไม่พอเพียง ก็ยังคงต้องมีการนำเข้าไฟฟ้าจากรัฐอื่นๆอยู่บ้าง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,160 วันที่ 26 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559