ดาราเทวีแฮร์คัตเหลือ2พันล้าน คาดมิ.ย.ออกจากแผนฟื้นฟู

25 พ.ค. 2559 | 08:00 น.
"ไอเอฟอีซี"มั่นใจนำ ดาราเทวี เชียงใหม่ ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ เดือน มิ.ย.นี้ หลังแฮร์คัตหนี้เหลือ 2 พันล้าน และผลประกอบการ ไตรมาสแรกสูงสุดในรอบ 10 ปี เตรียมเดินหน้าร่วมทุนกับบิ๊กอสังหาฯต่างชาติ ผุดโรงแรม–คอนโดฯ-วิลล่าหรู มูลค่ากว่า 5 พันล้าน เจาะตลาดไฮเอนด์จีน ตั้งเป้าขยายร้านเบเกอร์รี่ในและต่างประเทศเพิ่ม

นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ ไอเอฟอีซี เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่าจากแผนฟื้นฟูกิจการของโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ ใหม่ล่าสุด ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางและเจ้าหนี้ไปเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 มั่นใจว่าจะทำให้ ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ไม่เกินเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ ด้วยมูลหนี้รอบสุดท้ายที่เหลืออยู่ 950 ล้านบาท ที่น่าชำระให้จบภายในสิ้นปีนี้ จากภาระหนี้สินเดิมกว่า 5 พันล้านบาท สามารถเจรจากับเจ้าหนี้แฮร์คัตเหลือ 2 พันล้านบาท

นอกจากนี้ยังพบว่าผลประกอบการของโรงแรมมีการเติบโตในแง่ของรายได้และกำไรในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำสถิติรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี นับจากเปิดบริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2549 เพราะการซื้อโรงแรมในครั้งนี้ได้ทั้งตัวโรงแรมที่ดีมากและยังได้พนักงานและทีมผู้บริหารที่เป็นชุดเดิมทั้งหมดเปลี่ยนเพียงเจ้าของเท่านั้นช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีผลประกอบการที่ดีมากวัดได้จากอีบิตดา(กำไรก่อนหักค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่าย) ที่เติบโตต่อเนื่องจาก 80 ล้านบาทในปี 2556 ขยับมาเป็น 120 ล้านบาทปี 2557 ขึ้นมาเป็น 170 ล้านบาทในปี 2558 และในปีนี้คาดว่าจะแตะเกือบ 200 ล้านบาท

"ขณะเดียวกันได้มีการปรับมาตรฐานค่าเสื่อมจากปีละ 200 ล้านบาทเหลือปีละ 80 ล้านบาท ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยจ่าย ก็อยู่ในแผนฟื้นฟูปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งโรงแรมไม่มีหนี้ยังไงก็กำไร จากเดิมที่จ่ายค่าดอกเบี้ยปีละ 100 ล้านบาท จากแผนฟื้นฟูจะทำให้ในปีหน้า โรงแรมจะไม่มีภาระด้านการเงินมาเป็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เหมือนที่ผ่านมาและมีแผนจะนำโรงแรมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงปลายปีหน้า เพื่อระดมทุนต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ดาราเทวี ในอนาคต" นายสิทธิชัย กล่าว

อย่างไรก็ดีสำหรับหัวใจของแผนฟื้นฟู จะเน้นใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.โรงแรมสามารถขายตัวเองได้ จากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาท่าสถิติเติบโตสูงสุดและมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง 2.การซื้อกิจการได้ในราคาถูก ทำให้การบริหารสินทรัพย์ เอาเงินสดคืนได้เร็ว และ 3. มีสินทรัพย์บางตัว โดยเฉพาะที่ดินที่จะพัฒนาร่วมสามารถทำกำไรในอนาคตได้ ทำให้โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ จะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็ว หลังจากบริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ แคป แมนเนจเมนท์ จำกัด หรือ ไอซีเอพี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของไอเอฟอีซี ได้เข้าไปซื้อกิจการในโรงแรม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558

" การซื้อกิจการครั้งนี้ ไอซีเอพี ถือหุ้นทั้งทางตรงและอ้อม100% โดยซื้อกิจการจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งฝั่งไทยและฝั่งผู้ถือหุ้นชาวจีนเรารับภาระเรื่องแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งถือว่าออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็วเบ็ดเสร็จเราซื้อกิจการได้ในราคาไม่เกิน 2 พันล้านบาทและซื้อแบบไม่มีหนี้เลย ทั้งธุรกิจของโรงแรม ก็จะมีการบริหารสินทรัพย์เพื่อสร้างกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาเรื่องฟ้องร้องต่าง ๆ ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ที่ไม่เกี่ยวกับบริษัทแต่อย่างใด"

ทั้งนี้หลังจาก ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทเตรียมจะประกาศการร่วมลงทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ในการร่วมพัฒนาพื้นที่ด้านหลังดาราเทวี เชียงใหม่ อีก 40 ไร่ (ทางเข้า-ออกคนละทางกับโรงแรม) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ โดยจะสร้างโรงแรมขนาด 80 ห้อง คอนโดมิเนียม 120 ห้อง และเรสิเดนต์ วิลล่า (พูลวิลล่า) อีก 16 วิลล่า มูลค่าโครงการกว่า 5 พันล้านบาท โดยไอเอฟอีซี จะนำที่ดินไปลงทุน ส่วนการพัฒนาโครงการเป็นภาระของผู้ร่วมทุน

"โดยมุ่งกลุ่มลูกค้าที่จะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะโฟกัสกลุ่มไฮเอนด์จากจีน ส่วนรูปแบบเรสิเดนต์วิลล่า จะใช้ธีมเดียวกับ โรงแรม ดาราเทวี เชียงใหม่ คือวิวทุ่งนา และต้นไม้ใหญ่ ซึ่งการร่วมลงทุนนี้ไม่เพียงเราจะได้รับการแบ่งกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังสามารถชาร์จค่าบริการต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับ6 ดาว จากลูกค้าที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในโครงการได้ด้วย" ประธานไอเอฟอีซี กล่าว

อย่างไรก็ดีในส่วนของโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ นอกจากการดำเนินธุรกิจด้วยห้องพัก 123 ห้องแล้วยังมีการลงทุนที่เป็นที่พักอาศัย (เรสิเดนต์) ในลักษณะพูลวิลล่า 14 ยูนิต มูลค่าการลงทุนราว 600-700 ล้านบาท ที่เจ้าของเดิมก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 90% แล้ว เหลือตกแต่งอีก 10% บริษัทฯได้ลงทุนเพิ่มอีกราว 100 ล้านบาท เตรียมจะเปิดขายได้ราคาตารางเมตรละ 2 แสนบาทขึ้นไป

ขณะเดียวกันยังมองการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ดาราเทวี โดยนอกจากจุดเด่นในเรื่องของการบริการที่ขึ้นชื่อแล้ว เรายังมองถึงการขยายธุรกิจเบเกอรี่ในไทยและขยายไปยังต่างประเทศในอนาคต รวมถึงการต่อยอดเรื่องสปา และเมดิคัล แคร์ ซึ่งสปาของโรงแรมได้รับการยอมรับที่ดีมาก ทั้งยังมองการพัฒนาเชนดาราเทวี ให้เป็นแบรนด์โรงแรมลักชัวรีของไทย เพื่อมองโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ ไอซีเอพี กำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือกับพันธมิตร อย่าง แอลจี , ซัมซุง เพื่อพัฒนาระบบเอนเนอร์ยี เซฟวิ่งที่จะช่วยเรื่องของประหยัดค่าไฟฟ้า โดยจะนำมาใช้ที่ดาราเทวี เชียงใหม่ เป็นโรงแรมตันแบบ ตั้งเป้าลดค่าไฟฟ้าจาก 3 ล้านบาทต่อเดือนเหลือ 1.5 ล้านบาทต่อเดือน คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในปีหน้า เพื่อขายระบบดังกล่าวให้แก่โรงแรมอื่นๆหรือโรงพยาบาลอีกด้วย

นายสิทธิชัย ยังกล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าการเข้ามาซื้อกิจการที่เกิดขึ้น ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ดีมาก เพราะที่ผ่านมามีการดีลเรื่องซื้อขายเกิดขึ้นหลายดีลมาก แต่จังหวะที่ทางกลุ่มเราเข้าไป ก็เป็นช่วงที่ผู้ถือหุ้นเดิมต้องตัดสินใจขายหุ้นพอดี รวมถึงซื้อมาได้ราคาที่ดี ไม่เกิน 2 พันล้านบาท ขณะที่หากประเมินจริงๆโรงแรมนี้มีมูลค่าสูงถึง 5-6 พันล้านบาท ( เฉพาะที่ดิน 1 ไร่มีมูลค่า 20 ล้านบาท จากที่ดินทั้งหมด 155 ไร่คิดเป็นเงิน 3,100 ล้านบาท ยังไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง)

อีกทั้งโรงแรมนี้ ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว มีความอลังการมากจะไม่มีทางเกิดขึ้นในไทยอีกแน่นอน เพราะในแง่ของการเงินถือว่าโอเวอร์ อินเวสต์เมนต์ แต่เกิดขึ้นได้ เพราะเจ้าของเดิมสร้างจากใจ และเป็นแหล่งรวมศิลปะล้านนามาไว้ในที่เดียว สุดท้ายคือในแง่ของการดำเนินธุรกิจที่ถือว่ามีการเติบโตที่ดี ปัจจุบันดาราเทวี เชียงใหม่ ติดอยู่ท็อป 25 เดสติเนชัน ของคนจีน และได้รางวัลมากมาย การท่องเที่ยวเติบโต รายได้จึงเป็นรายได้สม่ำเสมอ ทำให้การซื้อกิจการที่เกิดขึ้นถือว่าคุ้มค่ามาก นายสิทธิชัยกล่าวทิ้งท้าย

Photo : dharadhevi
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,159 วันที่ 22 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559