DRT เผยส่งออก-ยอดขายไม้สังเคราะห์ช่วยหนุนดันกำไรโต 35.56%

16 พ.ค. 2559 | 07:37 น.
[caption id="attachment_53371" align="aligncenter" width="336"] คุณสาธิต สุดบรรทัด สาธิต สุดบรรทัด[/caption]

นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบาและบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 (มกราคม-มีนาคม) ว่า  บริษัทฯ ทำกำไรสุทธิ 129.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.39 ล้านบาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 1,109.92 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กำไรสุทธิของ DRT ที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นนั้นมาจากตลาดส่งออกไปในกลุ่ม CLMV+I (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนามและอินโดนีเซีย) ที่ขยายตัวดีโดยเฉพาะตลาดในเมียนมาร์และ สปป.ลาว ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ตลาดส่งออกในไตรมาสแรกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18% จากเดิมที่มีสัดส่วนส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 16% ของยอดรวม ซึ่งถือว่าขยายตัวได้เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากตลาดส่งออกเพิ่มเป็น 20% ภายในปี 2561 หรือ 3 ปีข้างหน้า

ส่วนตลาดในประเทศในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่ากำลังซื้อยังชะลอตัว แต่ DRT ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการปรับ Product Mix เพื่อผลักดันการขาย โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นที่ดี เช่น กลุ่มไม้สังเคราะห์ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและรักษาการเติบโตที่ดีของกำไรสุทธิ ขณะเดียวกันยังบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกด้วย

“เราพอใจกับผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แม้โดยภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังชะลอตัว ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างค่อนข้างรุนแรง แต่เรายังสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและการทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดี ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพราะในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้ไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน  บริษัทฯ ยังทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน” นายสาธิต กล่าว

กรรมการผู้จัดการ DRT กล่าวต่อว่า ส่วนไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ  ยังคงมุ่งผลักดันตลาดส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV+I ซึ่งเป็นตลาดหลักของ DRT อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะเมียนมาร์ที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่นมากในปีนี้ หลังมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยคาดว่ารายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังเมียนมาร์ในปีนี้จะมีโอกาสเติบโต 30-40% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนแนวโน้มตลาดในประเทศนั้น ประเมินว่ากำลังซื้อผู้บริโภคจะค่อยๆ ฟื้นตัว หลังจากราคาสินค้าการเกษตร อาทิ ยางพาราปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และจะช่วยหนุนให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าที่มีผลให้เกิดความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม รวมถึงบริษัทฯ จะมุ่งผลักดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางร้านค้าวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ที่มีการขยายสาขาเพิ่มและผลักดันสินค้าเข้าสู่ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อรองรับโอกาสในการขาย