สสว.เผยดัชนีความเชื่อมั่น SMEsปรับตัวเพิ่มขึ้น

04 พ.ค. 2559 | 07:39 น.
Breaking-News สสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่น SMEs เดือนมีนาคม 2559 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่โครงการ SME Strong/Regular Level คนสมัครเข้าร่วมล้นหลาม

นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & Service Sentiment Index: TSSI) ในเดือนมีนาคม 2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์จากระดับที่ 92.6 ขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 100.4 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านกำไรและยอดจำหน่ายที่ดีขึ้นมากในเกือบทุกกลุ่มสาขาทั้งภาคการค้าและบริการ โดยเฉพาะภาคบริการนั้น มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นสูงและมีค่าดัชนีเกินกว่าค่าฐานที่ 100 ทุกสาขา ทั้งนี้ ประเภทธุรกิจที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกสถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่ง (สินค้าและมวลชน) สันทนาการ บริการสุขภาพและความงาม เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดีจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน อาเซียนและยุโรป

สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้านั้น ยังคงสูงกว่าค่าฐานที่ 100 และอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า คือ จากที่ระดับ 104.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นที่ระดับ 104.8 ในเดือนมีนาคม 2559

a1

a2

ดัชนีความเชื่อมั่นของ SMEs ในภาคการค้าและบริการของเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของประเทศ (BSI)  และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI)   ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 103.0 และ 86.7 ตามลำดับ เนื่องจากแรงส่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง และมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตร ส่วนในภาคอุตสาหกรรมก็มีการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในช่วงหน้าร้อน และช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) กลับปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 53.7 สาเหตุจากผู้บริโภครู้สึกว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวค่อนข้างช้า และยังคงระมัดระวังในเรื่องของการใช้จ่าย อีกทั้งปัญหาภัยแล้งที่ยังเห็นผลกระทบในหลายพื้นที่

a3

ในส่วนของ โครงการ SME Strong/Regular Level ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณ 200 ล้านบาทจากคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ซึ่งมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น นางสาลินีได้ชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือเพื่อส่งเสริมให้ SMEs สามารถขยายตัวได้เต็มตามศักยภาพของ SMEs แต่ละราย เพื่อสร้างให้ SMEs เหล่านี้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแท้จริง สสว. ดำเนินโครงการนี้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาคีอื่นๆ เช่นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นต้น ล่าสุดมีผู้ประกอบการให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,900 ราย อยู่ในอุตสาหกรรม S-curve 80% โดยผู้ประกอบการที่มีศักยภาพต้องการที่จะพัฒนาธุรกิจ 4 ด้านด้วยกัน คือ การตลาดและการสร้างแบรนด์ การบริหารจัดการภายในองค์กร กลยุทธ์ทางธุรกิจ และด้านนวัตกรรม มีรายละเอียดดังนี้

a4

สสว. ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปวิเคราะห์ SMEs เป็นรายกิจการมีการจำแนก SMEs ออกตามศักยภาพ    และความเห็นที่จะต้องพิจารณาเพื่อช่วยให้ SMEs มีความเข้มแข็งขึ้นดังนี้

1. กลุ่มที่ต้องการนวัตกรรมเพื่อปรับปรุงสินค้าและบริการ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นจะ Matching ความต้องการของ SMEs กับนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยภาคีของ สสว.

2. กลุ่มที่ต้องการขยายตลาดและสร้าง Brand ให้เข้มแข็งขึ้น หากพิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพแท้จริง สสว.จะสนับสนุนการเปิดตลาดในประเทศที่ SMEs ไม่สามารถเข้าไปได้เองเช่น ตะวันออกกลาง ศรีลังกา มณฑลระดับรองของประเทศจีน เป็นต้น

สินค้าของ SMEs บางรายอาจเหมาะสมที่จะขยายตลาดในประเทศไทย และกลุ่มประเทศ CLMV สสว.จะพยายามผลักดันอย่างจริงจังให้สินค้าของ SMEs ไทยผ่านมาตรฐาน อย. เพื่อจะสามารถเข้าไปขายใน Modern Trade และขายในตลาดต่างประเทศได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

3. กลุ่มที่ต้องการลดต้นทุน ปรับปรุงการบริหารงาน สสว. จะจัดผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ และส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้วิธี Outsource เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร

สสว.ได้เชิญผู้ประกอบที่เข้าร่วมโครงการ Strong/Regular Level มาบอกเล่าถึงประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ 4 รายได้แก่

สำหรับผู้ประกอบการที่สสว. เชิญมาร่วมงานในครั้งนี้ ได้แก่

1. คุณอานันท์ สุขุมภาณุเมศร์ จากบริษัท ชิปยัวร์ส จำกัด ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ Shipyours   ซึ่งได้รับการส่งเสริมด้านนวัตกรรม (ซอฟท์แวร์)

2. คุณธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล จากบริษัท ทีอาร์ไทย ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวต้มมัดแม่นภา   ไส้กล้วย และไส้เผือก บรรจุในซอง สามารถเก็บไว้ได้นาน 1 ปี โดยรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง สสว. ได้เคยพาไปจับคู่ธุรกิจที่ประเทศศรีลังกาและมียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ได้รับการส่งเสริมด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ

3. คุณยุวดี เสริมสุข จากบริษัท ครูยุ คอทเทจ จำกัด ผู้ผลิตขนมเพื่อสุขภาพลูกเดือยอบกรอบ ได้รับ   การส่งเสริมด้านการเชื่อมโยงบริษัทครูยุฯ กับตลาดค้าปลีกภายในประเทศผ่านงาน Business matching ของธนาคารกสิกรไทย

4. คุณโชติกา วงศ์วิลาศ หรือน้องเนย ดารานักแสดง เจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Cho12  ซึ่งต้องการรับการส่งเสริมด้านนวัตกรรมและการทำ Business matching ในตลาดต่างประเทศ  สสว. คาดว่า โครงการนี้จะสร้างสมรรถนะการประกอบธุรกิจให้เข้มแข็งยั่งยืนได้อย่างเป็นระบบต่อไป