สกัด“วัคซีนการเมือง” ทางสะดวก“บิ๊กตู่” สยบโควิด

11 มิ.ย. 2564 | 23:00 น.

สกัด“วัคซีนการเมือง” ทางสะดวก“บิ๊กตู่” สยบโควิด : คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐิจ ฉบับ 3687 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 13-16 มิ.ย.2564 โดย... ว.เชิงดอย

+++ การสยบปัญหา “โควิด-19” ระลอก 3 ให้จบลงโดยเร็ว ย่อมจะเป็นผลดีต่อทั้งประชาชน ประเทศชาติ ทั้งในแง่ สังคม เศรษฐกิจ และอาจรวมถึงผลดีต่ออนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ และรมว.กลาโหม เองด้วย ในทางตรงกันข้ามหาก “โควิดระลอก 3” ยังไม่จบลงง่ายๆ แถมปัญหาคนติดเชื้อ คนเสียชีวิต ยังยืนระยะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ มีหวังปัญหา สังคม และ เศรษฐกิจ มีแต่จะ ทรุด ทรุด ทรุด....ลงไป ย่อมจะไม่เป็นผลดีต่อ “รัฐบาล” และอนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” และ พรรคพลังประชารัฐ แต่อย่างใด

+++ ว่าแล้ว “นายกฯบิ๊กตู่” ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด- 19 ก็เดินหน้า “ปลดล็อก”  การ “จัดหาวัคซีนโควิด” เพื่อเปิดทางให้หลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ในการจัดหาวัคซีนเพื่อเร่งกระจายฉีดให้กับประชาชนได้เร็วและจำนวนมากขึ้น อันจะเป็นหนทางให้คนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น นำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย  ในอีกทางหนึ่งอาจจะเรียกว่าได้ว่า เป็นการลดอำนาจกระทรวงสาธารณสุข ลดอำนาจเจ้ากระทรวงสาธารณสุข อย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้พ้นจากการร่วมบริหารวัคซีนโควิด ออกไป

+++ นั่นมีที่มาจาก “นายกรัฐมนตรี” ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้ออกประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 29 เม.ย.2564 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรี สามารถสั่งตรงหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำเนินการ 6 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ให้มีการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่มีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอแก่ประชาชนโดยอย่างน้อยให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร (ไม่น้อยกว่าจำนวนประชากรห้าสิบล้านคน) 2.ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประสานงาน ส่งเสริม และสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในการดำเนินการขึ้นทะเบียนวัคซีนให้เป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ

+++ 3.ให้กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์ หรือสาธารณสุข แก่ประชาชน ร่วมมือกันในการดำเนินการจัดหา สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ภายใต้กฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานนั้นๆ กำหนด4.เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้มากขึ้น สถานพยาบาลเอกชน และภาคเอกชน อาจจัดหา หรือ ขอรับการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากหน่วยงานตามข้อ 3 ภายใต้กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาให้บริการประชาชนหรือบุคลากรในความดูแลได้ตามความเหมาะสม โดยวัคซีนดังกล่าวต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยา และต้องพิจารณากำหนดราคาวัคซีนและการให้บริการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

+++ 5.โดยที่ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ที่ผลิตหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร ยังมีจำนวนจำกัด หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ให้จัดหาจากหน่วยงานตามข้อ 3 และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหลักเกณฑ์หรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 หรือนายกรัฐมนตรีกำหนด การดำเนินการตามวรรคหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ให้เป็นไปตามแนวทางหรืออยู่ในการกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดหาวัคนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านงบประมาณและรายได้ ที่แตกต่างกัน และเพื่อให้การกระจายวัคซีนในห้วงเวลาวิกฤติมีความเป็นธรรมมากที่สุด และ 6.ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล กับระบบแพลตฟอร์มหมอพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 และเพื่อให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ

+++ มาตรการทั้ง 6 ข้อ ที่ประกาศออกมา เท่ากับว่า “นายกรัฐมนตรี” จะเข้าไปสั่งการหน่วยงาน คณะกรรมการต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข โดยตรง เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนโควิด ก่อนหน้านี้ แม้นายกรัฐมนตรีจะยึดอำนาจตามกฎหมาย 31 ฉบับ มาไว้ที่ตนเองเพื่อแก้วิกฤติโควิด แต่ในแง่ข้อกฎหมาย หน่วยงาน คณะกรรมต่าง ๆ ยังรายงานตรงกับ “รมว.สาธารณสุข” อยู่ดี ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ “นายกรัฐมนตรี” จะใช้อำนาจสั่งการเองโดยตรง และคงผ่านการประเมินมาแล้วว่า หากปล่อยให้หน่วยงานสาธารณสุข และกรรมการชุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารวัคซีน รายงาน และสั่งตรง จาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ต่อไป สถานการณ์โควิดคงจะ “ยุติ” ลงยาก เพราะมีเรื่อง “วัคซีนการเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เมื่อตัดปัญหา “วัคซีนการเมือง” ออกไป การแก้ปัญหาเรื่องวัคซีนน่าจะทำได้สะดวกโยธินมากขึ้น

+++ แต่สิ่งที่จะตามมาคือ “ปัญหาทางการเมือง” ระหว่าง “นายกฯ” กับ “พรรคภูมิใจไทย” จะระอุขึ้น เพราะไปลดอำนาจ อนุทิน เสียหมด จนไม่เหลือหลออะไร เป็น “เจ้ากระทรวง” แต่ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไป จึงน่าจับตาว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” ยังจะมี “พรรคภูมิใจไทย” อยู่ร่วมรัฐนาวาต่อไปจนครบเทอมหรือไม่ หรือจะเกิดการ “ยุบสภา” เสียก่อน ต้องคอยดูกัน...