ผลสำรวจหนี้สินครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นในกลุ่มเปราะบางที่มีสัดส่วน22.1% ซึ่งเพิ่มเป็นดับเบิ้ล จาก 10.8%เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในแง่ของสัดส่วนหนี้ต่อรายได้(DSR) ที่อยู่ในช่วง 41-50%ซึ่งเป็นรายที่ปริ่มเกณฑ์นั้นหลังเจอการระบาดของโควิดระลอก 3 ทำให้สัดส่วนกลุ่มที่หนี้เกิน 50%เพิ่มขึ้นมาที่เกือบ 40%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สำรวจสถานการณ์หนี้สินของภาคครัวเรือนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2564 จำนวน 300ตัวอย่าง โดยนางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สัญญาณหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดการระบาดของโควิดรอบ 3 โดยพบว่า สถานการณ์หนี้ ถดถอยลงหลายส่วน เช่น บัญชีสินเชื่อต่อรายเพิ่มขึ้น ,ภาระหนี้ต่อรายได้หรือ DSRปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมอยู่ที่ 42.8% เพิ่มเป็น 46.9% ในความหมายคือ รายได้ 100บาท จะต้องจัดสรรเป็นภาระจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและอัตราดอกเบี้ยเกือบ 50% ซึ่งกดดันรายได้ที่ไม่ปกติอยู่แล้ว เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาถูกลดชั่วโมงการทำงานลง หรือรายได้ปรับลดลง แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือต่างๆก็ตาม
ขณะเดียวกันในเดือนมิถุนายนยังพบว่ามีสัดส่วนผู้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่ม 39% แต่ในส่วนที่ยังไม่เข้ามาตรการประมาณ 61%นั้น เนื่องจากตระหนักในความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนของรายได้ โดยกว่าครึ่งยังสนใจจะเข้ามาตรการช่วยเหลือทางการเงินในอนาคต
ที่สำคัญเมื่อพิจารณาหนี้สินภาคครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นในกลุ่มเปราะบาง (กลุ่มที่ภาวะการเงินกำลังวิกฤติ) ซึ่งมี 3เงื่อนไข ได้แก่ รายได้ลดลง ,ค่าใช้จ่ายทรงตัว หรือปรับเพิ่มขึ้นและสัดส่วนหนี้ต่อรายได้(DSR)มากกว่า 50% โดยพบว่า กลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มที่ภาวะการเงินกำลังวิกฤติ มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 22.1% จาก 10.8% เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายที่ปริ่มเกณฑ์ ในแง่ของสัดส่วนหนี้ต่อรายได้(DSR) ซึ่งอยู่ในช่วง 41-50% หมายถึงเดิมทีมีภาระหนี้ 41-50 บาทต่อรายได้ 100บาทในแต่ละเดือน หลังจากเจอสถานการณ์โควิดระบาดรอบ 3 ไหลเพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มที่มีหนี้เกิน 50%ทำให้สัดส่วนกลุ่มที่หนี้เกิน 50%เพิ่มขึ้นมาที่เกือบ 40%
มองไปข้างหน้า เนื่องจากความไม่แน่นอนที่กระทบรายได้และค่าครองชีพสูงขึ้น ซึ่งลูกหนี้มีความกังวลต่อสถานการณ์หนี้เพิ่มขึ้น เห็นได้จากผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าหนี้ของตัวเองแย่ลงเดิมอยู่ที่ 7.8% ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาที่ เกือบ 27% ซึ่งนอกจากรายได้ยังกังวลต่อค่าครองชีพ การตกงานและต้องพึ่งหนี้นอกระบบ
สำหรับมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐหลายส่วนทั้ง สภาพคล่อง มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ซึ่งจากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงทำให้สัดส่วนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสภาพคล่องเฉพาะหน้า เพิ่มขึ้น 46.6% รองลงมาเป็นความต้องการให้ช่วยเหลือการทำงานเพื่อให้มีรายได้
ขณะที่ประเด็นดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับเรื่องอัตราการเร่งฉีดวัคซีน หรือการกลับมาบริโภค จับจ่ายใช้สอย และทยอยเปิดประเทศซึ่งจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์หนี้มีความยั่งยืนขึ้น
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ยังกล่าวว่า ผลสำรวจในรอบไตรมาสสองของปีนี้ ยังประเมินกรณีสถานการณ์เร่งฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ร้านค้ากลับมาเปิด เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เชื่อว่ามาตรการที่อยู่อาจจะช่วยลูกหนี้ได้ เพียงแต่ต้องปรับปรุงในทางปฏิบัติเพื่อให้โครงการต่างๆมีความคล่องตัวและเบิกใช้ได้ดีขึ้น ขณะที่โจทย์ของธนาคารพาณิชย์จะเน้นเตรียมสภาพคล่องรองรับธุรกิจแทนการแก้หนี้ แต่หากเกิดการฉีดวัคซีนชะลอลง หรือกลายพันธุ์ของไวรัสสัญญาณลบอาจทำให้ทางการต้องพิจารณา มาตรการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มเล็กน้อยคาดว่าสิ้นปีจะแตะระดับ 90%จาก 89.3%เมื่อสิ้นปีก่อนและคงจะเป็นประเด็นที่ต้องกลับมาหารืออย่างจริงจัง หลังผ่านสถานการณ์โควิดหรือเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว
ในส่วนของคุณภาพหนี้ของธนาคารพาณิชย์ แนวโน้มยังปรับเพิ่มขึ้นแต่ไม่รุนแรง คาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 3.20-3.50% ซึ่งขยับเพิ่มขึ้นจาก 3.12%เมื่อสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่ยังได้อานิสงค์จากมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะการผ่อนคลายการจัดชั้นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แต่เอ็นพีแอลยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใน 1-3ปีข้างหน้าแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีโมเมนตั้มดีขึ้นก็ตาม