“จีน-สหรัฐ”ระอุเปิดศึก"สงครามลับใต้น้ำ"ในทะเลจีนใต้  

07 มิ.ย. 2564 | 05:10 น.

“จีน-สหรัฐ”ระอุ เปิดศึก "สงครามลับใต้น้ำ" หลังจีนจับ-ยึดยานใต้น้ำไร้คนขับของสหรัฐ ทำให้ต้องส่งเรือดำน้ำจำนวนมากไปประจำการอย่างเงียบๆ ในทะเลจีนใต้

 

วันนี้(7 มิ.ย.64) พล.ต.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ และผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้นำเสนอข้อมูลวิเคราะห์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) และกองทัพสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จนมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่สนามรบใหม่จากการต่อสู้ใต้น้ำ หรือ "สงครามลับใต้น้ำ" ในทะเลจีนใต้ กล่าวคือ 

๑. ประเด็นแรก “สงครามมืด"  ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นจากการที่ยานใต้น้ำไร้คนขับของสหรัฐฯ ซึ่งถูกกองทัพเรือจีนจับและยึดได้ในทะเลจีนใต้ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2559 โดยต่อมาได้รับการยืนยันว่าเป็นเรือดำน้ำไร้คนขับของสหรัฐฯ ที่ประจำการในทะเลจีนใต้ 

นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ทั้งเครื่องบินทหารของจีนและเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ ได้ปรากฏตัวในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง โดย PLA มักจะส่งเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ Y-8 เพื่อค้นหาเรือดำน้ำของกองทัพสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน เครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ P-8 และ P-3C ของกองทัพสหรัฐฯ ก็ปรากฏตัวขึ้นบ่อยครั้งในน่านน้ำ ซึ่งทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการค้นหาเรือดำน้ำ อันบ่งชี้ได้ว่าเรือดำน้ำจำนวนมากได้ถูกส่งไปประจำการอย่างเงียบๆ ในทะเลจีนใต้ และการเผชิญหน้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก 
เรือดำน้ำมักถูกเรียกว่า "นักฆ่าใต้ทะเล" เนื่องจากการซ่อนตัวที่ก้นทะเลนั้นหายากมากประกอบกับการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพรางตัวและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรือดำน้ำสามารถซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเลได้นาน ทำให้การตามรอยเรือดำน้ำยากขึ้น จะพบเมื่อมีการใช้อาวุธโจมตีแล้ว จึงเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
                                                         “จีน-สหรัฐ”ระอุเปิดศึก"สงครามลับใต้น้ำ"ในทะเลจีนใต้  

๒. ประเด็นที่สอง เกมระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้รับการยกระดับอีกครั้งจากปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน อาทิ หลังจากการระบาดของวิกฤตการเงินโลกครั้งใหม่ในปี พ.ศ.2551 ทำให้ช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังหดตัวลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี หรือพลังแข็งและอ่อนของชาติ รวมถึงข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" (BRI) และ "ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย" (AIIB) ในด้านเศรษฐกิจและการค้าหรือการพัฒนาของจีน 

โดยเฉพาะในด้านการทหารจากการที่จีนพัฒนาการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางขั้นสูง และขีปนาวุธร่อนจำนวนมาก พร้อมอาวุธขั้นสูงและการโจมตีรูปแบบใหม่ รวมทั้ง เรือดำน้ำ และ เครื่องบินขับไล่ ได้ยกระดับสูงขึ้น ตลอดจนอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในระเบียบเศรษฐกิจโลก และความมั่นคงระหว่างประเทศได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ก็มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมเกมระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้จากปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
 
                                              “จีน-สหรัฐ”ระอุเปิดศึก"สงครามลับใต้น้ำ"ในทะเลจีนใต้  

๓. ประเด็นที่สาม จุดแข็งที่แท้จริงของสงครามใต้น้ำจีน-สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเทคโนโลยี คุณภาพ ปริมาณ หรือความสามารถในการโจมตี ถือเป็นระดับสูงสุดของโลกที่ไม่มีประเทศใดเทียบได้ ปัจจุบัน จีนมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 18 ลำ ที่ประจำการอยู่ รวมถึงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์ Type 094A จำนวน 4 ลำ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ Type 094 จำนวน 2 ลำ และเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธนำวิถีเชิงยุทธศาสตร์ Type 092 จำนวน 1 ลำ 

ดังนั้น ในการเผชิญกับเกมจีน-สหรัฐฯ ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กองทัพเรือจีนยังคงต้องพัฒนาและเติบโตในอนาคต แม้ว่าจีนจะยังมีหนทางอีกยาวไกลในการจำกัดช่องว่างอำนาจกับสหรัฐฯ (สหรัฐฯ มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 68 ลำ) โดยเฉพาะในเกมใหม่ที่ต้องใช้การปฏิบัติการใต้น้ำก็ตาม 
 

บทสรุป การวางกำลังทหารใต้น้ำ หรือ "สงครามลับใต้น้ำ" ในทะเลจีนใต้ยังคงดำเนินต่อไปนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ที่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าในไม่ช้าสหรัฐฯ จะสามารถปรับใช้ยานใต้น้ำไร้คนขับประเภทต่างๆ มากขึ้น 

ในขณะที่จีนมีขีดความสามารถในการใช้ขีปนาวุธ Julang-2 ที่ติดตั้งในเรือดำน้ำขีปนาวุธขับเคลื่อนด้วยนิวเคลียร์ของจีน ซึ่งมีระยะยิง 7,200 กิโลเมตร ทำให้สามารถโจมตีมลรัฐอลาสก้าและฮาวายจากทะเลจีนใต้ รวมทั้ง 50 มลรัฐในสหรัฐฯ ได้ทั้งหมด 

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.163.com/dy/article/GBD7SRKG0543KAAC.html )