นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้ออกประกาศจุฬาราชมนตรี เรื่องกำหนดวันที่ 1 ของเดือนเซาวาล (วันอีฎิ้ลฟิตริ) ฮิจเราะห์ศักราช 1442 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ตามที่ ได้ประกาศให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศดูดวงจันทร์ เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนเซาวาล (วันอีฎิ้ลฟิตริ) ฮิจเราะห์ศักราช 1442 ในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลาหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้านั้น ปรากฏว่า ไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์
จึงขอประกาศว่า วันที่ 1 ของเดือนเซาวาล (วันอีฎิ้ลฟิตริ) ฮิจเราะห์ศักราช 1442 ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2564
อนึ่งการปฏิบัติศาสนกิจละหมาด อีฎิ้ลฟิตริ ได้มีข้อกำหนดเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ทางจุฬาราชมนตรี ได้ออกประกาศ (ฉบับที่ 5/2564) ว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจละหมาด อีฎิ้ลฟิตริ โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย
หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่กระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ได้ประกาศปรับระดับพื้นที่ควบคุม 3 ระดับ เป็นระยะเวลา 14 วัน (1 – 14 พฤษภาคม 2564) และในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติศาสนกิจละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ ดังนั้นจึงกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ดังต่อไปนี้
1.สำหรับในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ให้งดละหมาดอีฎิ้ลฟิตริที่มัสยิด และให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดแจ้งมัสยิดได้ประกาศแจ้งผู้ดูแลในชุมชนให้ละหมาดที่บ้านภายในครอบครัว โดยใช้มาตรการเดียวกับละหมาดที่มัสยิด
2.สำหรับในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 45 จังหวัด และพื้นที่ควบคุม จำนวน 26 จังหวัด ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดพิจารณาร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้
2.1 สำหรับพื้นที่ใดภายในจังหวัดที่พิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าสามารถละหมาดอีฎิ้ลฟิตริได้ ให้ปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติศาสนกิจละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ ดังนี้
2.1.1 สำหรับมัสยิด
ให้กรรมการอิสลามประจำมัสยิดหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ มาตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ามัสยิด , ให้จัดวางเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไว้บริเวณประตูทางเข้ามัสยิด , งดใช้บ่อน้ำ (กอเลาะห์) หรืออ่างใหญ่ร่วมกัน , ให้ทำความสะอาดพื้นมัสยิดก่อนและหลังการละหมาดอีฎิ้ลฟิตรี และไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ
โดยให้เปิดหน้าต่างมัสยิด ผ้าม่าน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และให้จัดทำเครื่องหมายจุดละหมาดที่สามารถระบุตำแหน่งได้โดยให้เว้นระยะห่างระหว่างแต่ละจุด 1-2 เมตร
2.1.2 สำหรับผู้เข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ ให้อาบน้ำละหมาดจากที่บ้าน , ให้ใช้ผ้าปูละหมาด (ผ้าซะญาดะห์) ส่วนตัว โดยนำมาจากบ้าน , ให้ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ที่มัสยิดจัดเตรียมไว้ , ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติศาสนกิจ ,
งดการสลามด้วยการสัมผัสมือ การสวมกอด และการสัมผัสแก้ม โดยให้ยกมือพร้อมกล่าวสลามเท่านั้น , เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ให้งดการไปร่วมละหมาดอีฎิ้ลฟิตริที่มัสยิด และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก แม้จะมีอาการไม่มากให้งดการไปร่วมละหมาดอีฎิ้ลฟิตริที่มัสยิด
2.1.3 การปฏิบัติศาสนกิจละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ ให้เว้นระยะห่างระหว่างแถวและในแถว 1-2 เมตร หรือตามจุดที่มัสยิดได้จัดทำเครื่องหมายระบุไว้ , ให้รีบปฏิบัติศาสนกิจละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ เมื่อเข้าเวลาและให้กระชับเวลาในการละหมาดและคุตบะห์ ไม่เกิน 30 นาที
2.2 สำหรับพื้นที่ใดที่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้พิจารณาร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ของแต่ละจังหวัดแล้วเห็นว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ให้งดการละหมาดอีฎิ้ลฟิตริที่มัสยิด โดยให้ละหมาดที่บ้านภายในครอบครัว และให้ใช้มาตรการเดียวกับการละหมาดที่มัสยิด
3. ให้งดการจัดเลี้ยงอาหารและหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เช่น การเยี่ยมญาติ และการเยี่ยมกุโบร์ (สุสาน) เป็นต้น
ทั้งนี้สำนักจุฬาราชมนตรี ได้เผยแพร่วิธีการละหมาดสุนัตอีฎิ้ลฟิตร์ โดยมีขั้นตอนดังนี้