อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 31.17 บาทต่อดอลลาร์

12 พ.ค. 2564 | 00:33 น.

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะผู้ส่งออกก็รอขายเงินดอลลาร์อยู่ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 31.20-31.30 บาทต่อดอลลาร์

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.17 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์แนวรับสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นยังอยู่ที่ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งระดับดังกล่าว ยังคงเห็นบรรดาผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ต่อเนื่อง

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เราคาดว่า หากเงินดอลลาร์ยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เงินบาทก็จะยังคงแกว่งตัวในกรอบเดิม โดยในระหว่างวัน เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อ ตามบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใสในระยะนี้ แต่เราก็มองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะผู้ส่งออกก็รอขายเงินดอลลาร์อยู่ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 31.20-31.30 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ เราคงมองว่า แนวรับสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นยังอยู่ที่ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งระดับดังกล่าว ยังคงเห็นบรรดาผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีบางบริษัทที่จำเป็นต้องจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติก็ทยอยเข้ามาซื้อสกุลเงินต่างประเทศเช่นกัน (คาดว่า ยอดจ่ายเงินปันผลในช่วงที่เหลือของเดือนพฤษภาคมจะอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท)  กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.15-31.25 บาท/ดอลลาร์

 

ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลต่อแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อหลังจากที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Bloomberg Commodity Index พุ่งขึ้นกว่า 0.7%) แม้ว่าถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงคืนที่ผ่านมาจะยังคงมองว่า เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเพียงชั่วคราวและเฟดยังไม่รีบพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือลดการอัดฉีดสภาพคล่องเร็วๆนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะลดความเสี่ยงลงด้วยการเทขายหุ้น ซึ่งแรงเทขายหุ้นเริ่มลุกลามไปยัง หุ้นในกลุ่ม Cyclical มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ ดัชนี Dowjones ปรับตัวลงกว่า 1.4% ส่วน ดัชนี S&P500 ก็ปิดลบราว 0.9% ขณะที่ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อลงเพียง 0.1% หลังจากที่ ดิ่งลงกว่า 2% ในช่วงแรกของการเทรด จนมีแรงซื้อของนักลงทุนที่รอจังหวะเก็บหุ้นตอนย่อ (Dip Buyers) เข้ามาพยุงตลาดไว้ ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ก็ปิดลบราว 1.9% เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ  กดดันโดยการปรับตัวลงของหุ้นในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ การเงินและพลังงาน อาทิ Adyen, Enel, ING และ SAP เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มกระจายไปยัง หุ้นในกลุ่ม Cyclical มากขึ้น แต่เราคงมองว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Cyclical จะสามารถต้านแรงเทขายได้ดีกว่า หุ้นในกลุ่มเทคฯ และธีม Cyclical & Value Play ยังสามารถไปต่อได้ แม้ว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นก็ตาม 

 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาพรวมยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันก่อนหน้า โดยบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังปรับตัวขึ้น 2bps สู่ระดับ 1.62% แม้ว่าตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่กลับมากังวลแนวโน้มเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอคอยการรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันนี้ ซึ่งหากเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดก็อาจคลายกังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและทำให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ไม่ได้พุ่งขึ้นแรงหรืออาจทรงตัวในกรอบช่วง 1.55%-1.60% ได้

 

ทั้งนี้ ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 90.20 จุด เราคาดว่า เงินดอลลาร์จะยังไม่ได้เคลื่อนไหวมีทิศทางชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอฟังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของเฟดในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนสถานะถือครองเงินดอลลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์มีโอกาสทรงตัวหรืออ่อนค่าลงได้ หากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดต่างยืนกรานว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ และตลาดการเงินก็ไม่ได้ปิดรับความเสี่ยงรุนแรง

 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามทิศทางเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากทั้งการบริโภคในประเทศจะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนเมษายน เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 2.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) จะได้แรงหนุนจากฐานราคาน้ำมันปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ CPI เร่งตัวขึ้นแตะ 3.6%

 

นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ โดยตลาดประเมินว่า อานิสงส์ของการเร่งแจกจ่ายวัคซีนจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมอังกฤษฟื้นตัวดีขึ้น โดยยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนมีนาคม จะปรับตัวขึ้นกว่า 1.0%m/m ทว่า ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในช่วงไตรมาสแรกจะกดดันให้เศรษฐกิจหดตัว -6.1%y/y

 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะยังคงติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ  Daly, Bostic, Clarida เพื่อติดตามมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและโอกาสที่เฟดจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน โดยต้องระมัดระวังในกรณีที่เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่แสดงความมั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อย่าง การปรับลดคิวอี (QE Tapering) เพราะอาจทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงได้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเช้านี้ (12 พ.ค.) อ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับประมาณ 31.16-31.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากระดับปิดตลาดในวันทำการก่อนหน้าที่ 31.11 บาทต่อดอลลาร์ฯ  โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับประมาณ 1.63% โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานเดือนมี.ค. (เครื่องชี้ความต้องการจ้างงานในตลาดแรงงาน) ที่เพิ่มสูงกว่าที่คาด และสะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 31.10-31.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามน่าจะอยู่ที่สถานการณ์โควิดทั้งไทยและต่างประเทศ และข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งสะท้อนภาพเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของสหรัฐฯ