นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้(ใหม่) ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปีนับตั้งแต่ออกหุ้นกู้ในแต่ละคราว โดยมีวัตถุประสงค์การเสนอขายเพื่อ ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดชำระและใช้ในการดำเนินงานหรือเป็นเงินทุนและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทในเครือ
ทั้งนี้ ที่ประชุมอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 โดยจ่ายจากกำไรสะสมสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,119 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา 33.32% ของกำไรสุทธิ (งบเฉพาะกิจการ) โดยให้ วันที่ 15 มีนาคม 2564 เป็นวันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (“Record Date”) ในการรับเงินปันผลประจำปี 2563 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 21 พฤษภาคม2564
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน จากโครงการลงทุนใหม่ในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สนับสนุนการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งในช่วงไตรมาส1/2564 แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีสัญญาณที่ดีขึ้นมาก หลังจากการที่ภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อเร่งผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความสนใจ และความต้องการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น"
ทั้งนี้ บริษัทฯจะเน้นให้ความสำคัญกับการเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์อีวี เพื่อการโดยสารสาธารณะ เนื่องจากได้มีการเข้าไปลงทุนรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้า คาดทยอยส่งมอบรถบัสไฟฟ้าขนาดเล็กได้ช่วงกลางปีนี้ จำนวน 400 คัน และเพิ่มเป็นจำนวน 1,000 คันในสิ้นปีนี้ โดยกำลังการผลิตรถบัสไฟฟ้าอยู่ที่ปีละ 3,000 คัน
ส่วนการขยายสถานีประจุไฟฟ้าได้ดำเนินการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเกือบ 500 สถานี มีหัวชาร์จมากกว่า 1,600 หัว โดยมีตั้งแต่ระบบธรรมดา หรือ AC Charger ไปจนถึงระบบชาร์จเร็วและทันสมัยที่สุดหรือ DC Super-Fast Charge ที่ใช้เวลาเพียง 15-20 นาที ขณะที่ธุรกิจโรงงานแบตเตอรี่ไอออนลิเทียม ยังเดินหน้าได้ตามแผนแม้ว่ามีสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่จบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรและคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในไตรมาส 2/2564
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ วางงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 6,100 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจพลังงาน สัดส่วน46% , ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า 25% , ธุรกิจแบตเตอร์รี่ 20% , ธุรกิจสถานีชาร์จ 7 % และ อีก 2% สำหรับลงทุนโครงการใหม่ ส่วนธุรกิจเดิมทั้งธุรกิจไบโอดีเซล & PCM และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนส่วนใหญ่ นำไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่อให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าดีขึ้นรวมถึงมองหาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย