ข้อคิดลงทุน หุ้นเปิดเทรด 1 เดือน ก่อนลายาวไปฟื้นฟูกิจการ

07 เม.ย. 2564 | 13:06 น.

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ย้ำนักลงทุนต้องใช้ความละเอียดสูงในการลงทุนซื้อหรือขายออกในหุ้นสามัญของบริษัทที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ เตือนต้องพิจารณามากกว่าหุ้นโดยปกติหลายเท่าตัว

รายงานข่าวจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยถึงการลงทุนซื้อหรือขายออกในหุ้นสามัญของบริษัทที่มีการยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ว่า หากหุ้นที่นักลงทุนถืออยู่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูฯ ถือเป็นหุ้นที่มีระดับความเสี่ยงและโอกาสที่สูงกว่าหุ้นโดยทั่วไป ซึ่งมีความยากที่จะวิเคราะห์ หรือเก็งผลลัพธ์ให้แม่นยำ โดยผู้ลงทุนต้องตัดสินใจให้ดี และพร้อมจะรับผลขาดทุนจำนวนมาก หากคาดการณ์ผิด

สำหรับประเด็นการมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จะเข้าเกณฑ์อาจถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หุ้นของบริษัทก็จะถูกห้ามการซื้อขายเป็นเวลา 30 วัน หรือจนกว่าบริษัทจะแจ้งแนวทางฟื้นฟูกิจการมาที่ตลท. หากครบเวลาที่ถูกห้ามไว้ หรือเมื่อบริษัทได้แจ้งแนวทางฟื้นฟูกิจการมาแล้ว ตลท.จะอนุญาตให้ซื้อขายหุ้นของบริษัทได้เป็นเวลาเพียง 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยากขายกับผู้ที่อยากซื้อ ได้มีโอกาสใช้ดุลพินิจตัดสินใจกัน

อย่างไรก็ตาม หุ้นจะถูกขึ้นห้ามการซื้อขายยาวนาน จนกว่าบริษัทจะสามารถทำให้เหตุแห่งการเพิกถอนหมดไป โดยให้เวลา 3 ปี หากครบตามเวลาแล้ว แต่ยังแก้ไขปัญหาที่เป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนได้ไม่สำเร็จเช่น ส่วนของผู้ถือหุ้นยังเป็นลบ ตลท.ก็อาจต้องเพิกถอนหุ้นของบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หากใครมีหุ้นดังกล่าวอยู่ในมือก็หมดโอกาสขายอีกต่อไป

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องประเมินหุ้นที่ฟื้นฟูกิจการ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากหรือน้อย ได้แก่ ดูอัตราส่วนของสินทรัพย์ที่จำเป็นต้องมีในการดำเนินกิจการ เทียบกับหนี้สินต่าง ๆ ห่างกันแค่ไหน, สามารถเจรจาให้เจ้าหนี้ ยอมลดหนี้ หรือยอมแปลงหนี้เป็นหุ้นได้มากเท่าไร ถือเป็นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น, การเพิ่มทุนที่ได้รับเงินจริงเข้ามามากน้อยเพียงใด 

นอกจากนี้ การแปลงหนี้มาเป็นหุ้น ต้องพิจารณาว่า แปลงกันที่ราคาเท่าไร ถ้าแปลงที่ราคาสูง ก็เหมือนเจ้าหนี้ต้องยอมลดหนี้ให้ แต่เป็นสิ่งจำเป็น หากจะไม่ให้บริษัทต้องล้มละลายขายทอดตลาด, ธุรกิจที่ทำต่อมีแนวโน้มที่ดีหรือไม่ หากดูแล้วมีกำไร ก็ทำให้มีความหวังที่จะฟื้นกลับให้เฟื่องฟูได้ในเวลาไม่นาน แต่หากไม่ทัน 3 ปี อาจต้องออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

"การปรับเปลี่ยนคณะผู้บริหาร ให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ต้องดูตั้งแต่ระดับคณะกรรมการ มาจนถึงผู้บริหารระดับสูงที่คงอยู่รายเดิม และที่เพิ่มเข้ามาใหม่ รวมถึงรูปแบบขององค์กร เป็นลักษณะที่ดูคล่องตัวสามารถเปล่งประสิทธิภาพในการบริหารจัดการได้ดี มีความถนัดทางด้านธุรกิจด้วยหรือไม่ หรือยังคงดูมีความเทอะทะล่าช้าทางธุรกิจ"