สถานการณ์การเมืองกับทางเลือกของนายกรัฐมนตรี

07 เม.ย. 2564 | 08:40 น.

สถานการณ์การเมืองกับทางเลือกของนายกรัฐมนตรี : คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฉบับ 3668 ระหว่างวันที่ 8-10 เม.ย.2564 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

ปรากฏการณ์เคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง ในการต่อต้านคัดค้านรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกขณะนี้นั้น ล้วนมีต้นตอของปัญหามาจากสาเหตุสืบเนื่องของการรัฐประหารยึดอำนาจและการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของ คสช. และการจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560  ที่เอื้อต่อการสืบต่ออำนาจของหัวหน้า คสช.ทั้งสิ้น สถานการณ์ความไม่พอใจรัฐบาล ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร ยังคงคุกรุ่นตลอดมา หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ความไม่พอใจทางการเมืองทั้งหลายที่สั่งสม จึงปะทุขึ้นในช่วงเวลานี้ 

จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน พอสรุปสาเหตุและปัญหาสำคัญได้ดังนี้

1. กลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ในขณะนี้ เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ มิใช่ตัวแทนประชาชนที่พวกเขาให้การยอมรับ และไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีใดๆ กับกลุ่มการเมืองภาคประชาชน รัฐบาลประยุทธ์ฯ เป็นเพียงตัวแทนอำนาจของกลุ่มขุนนาง เป็นรัฐราชการ ตัวแทนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือเป็นเผด็จการรูปแบบใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจไว้ใน "พี่น้อง 3 ป."

2. ประชาชนกลุ่ม กปปส., กลุ่มพันธมิตร, นปช. รวมถึงผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย คาดหวังว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดอำนาจระบอบทักษิณแล้ว จะดำเนินการปฏิรูปประเทศตามสัญญา แต่ปัจจุบัน พวกเขาต่างรู้สึกผิดหวังว่า นายกฯ มิได้ดำเนินการใดในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นเพียงการฉวยโอกาส อาศัยเหตุการณ์ กระทำการยึดอำนาจเพื่อตนเองกับพวกพ้องเท่านั้น

3.รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มาจากการร่างของคณะรัฐประหาร โดยกรรมาธิการยกร่างที่เป็นนิติบริกร ที่ทำตามใบสั่งของผู้ยึดอำนาจที่ต้องการสืบทอดอำนาจเท่านั้น โดยมิได้มีเจตนารมณ์ในการปฏิรูปประเทศแต่อย่างใด แม้รัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติแต่ก็เป็นประชามติใต้กระบอกปืนและอำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช. 

ทุกกลุ่มจึงต้องการเห็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อหยุดการสืบทอดอำนาจ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับถูกขัดขวางจากพรรคการเมืองของรัฐบาล ประเด็นนี้ พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ร่วมรัฐบาลหลายพรรค ก็ต้องการการแก้ไขเช่นกัน เพราะหากรัฐธรรมนูญ 2560 ยังคงบังคับใช้ ย่อมปิดโอกาสพวกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
 

4.พล.อ.ประยุทธ์ กับพวก มิได้ทำตามสัญญาในเรื่องการปฏิรูปทางการเมือง และในเรื่องการสร้างความสามัคคีปรองดอง ยุติปัญหาความขัดแย้ง เพื่อให้ทุกคนหันมาสามัคคีรวมไทยสร้างชาติจริง พวกเขาเห็นว่า เป็นเพียงวาทะกรรมลวงๆ การนิรโทษกรรมในคดีการเมืองแก่ประชาชนและแกนนำก็ถูกเบี้ยว แต่กับพวกตนได้รับการนิรโทษกรรมเกี่ยวกับการกระทำความผิด ในการยึดอำนาจและทุกกรณี 

กลุ่มการเมืองอื่นล้วนถูกกระทำย่ำยี ถูกจับกุมดำเนินคดีและถูกพิพากษาจำคุกแทบทั้งสิ้น ทั้งที่การกระทำของกลุ่มการเมืองต่างๆ เหล่านั้น คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ กับพวก โดยเฉพาะการที่แกนนำ กปปส.ถูกพิพากษาจำคุก ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับพวก ไม่ใยดีต่อประชาชน จึงเป็นที่มาแห่งการสรุปรวมว่า "พล.อ.ประยุทธ์ ตระบัดสัตย์" ทำทุกอย่างเพื่อสืบทอดอำนาจ

5. ด้วยปัญหาความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่สั่งสมในหลายเรื่อง และจากเหตุการณ์ทางการเมืองดังกล่าว เป็นสาเหตุทำให้ทุกกลุ่มการเมืองที่เคยมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ขัดแย้งกัน เริ่มมีการหันหน้ามาคุยเจรจากัน เพราะรู้สึกว่าพวกตนต่างตกเป็นเหยื่อและถูกกระทำจาก "ระบอบประยุทธ์" 

และยังเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับพวก มีแนวโน้มที่จะยึดกุมอำนาจการปกครองโดยรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือให้ยาวนานที่สุด เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการสร้างประชาธิปไตย จึงเป็นที่มาของการชุมนุมเพื่อโหมโรงในชื่อ "สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย" เพื่อสลายสีเสื้อ เปิดทางให้กลุ่มต่างๆ หันหน้ามาสามัคคีกัน เพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเกิดปรากฏการณ์ อดีตแกนนำและมวลชน นปช., กปปส., พันธมิตรฯ

แม้แต่กลุ่มเยาวชนปลดแอก, แนวร่วมธรรมศาสตร์การชุมนุม, กลุ่มราษฎร และอื่นๆ ก่อตัวรวมกันเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงประเด็นเดียว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้การเคลื่อนไหว ขยายตัวพัฒนาเป็นการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่ และมีผู้เข้าร่วมมากขึ้นตามลำดับได้ โดยเฉพาะการออกมาตอบโต้ของลิ่วล้อรัฐบาล ที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง ยิ่งจะเป็นการราดไฟลงบนกองเพลิง หาใช่แนวทางแก้ไขปัญหา มีแต่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเป้าหมายทางการเมืองที่ถูกประชาชนเกลียดชัง 
 

การชุมนุมของ "กลุ่มสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย" เป็นรูปแบบการชุมนุมจัดกิจกรรมที่เพิ่งเริ่มต้น แต่มีประเด็นปัญหาข้อเรียกร้องที่ชัดเจน ตรงประเด็น เป็นข้อเรียกร้องต้องการร่วมกันของคนจำนวนมากที่สุด เมื่อพวกเขาตัดประเด็นเรื่องล้มเจ้า โจมตีสถาบันออกไป ย่อมทำให้มีแนวร่วมการชุมนุมกว้างและมากที่สุด ประกอบกับการเปิดทางให้ทุกฝ่าย ทุกสีเสื้อลืมความหลัง หันมาสามัคคีร่วมมือกัน เป็นผู้นำร่วมกันในการชุมนุม ร่วมกัน (collective leadership ) จึงเหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นรูปแบบที่เปิดกว้าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของม็อบคอยกดปุ่มบงการ ไม่มีต่างชาติแทรกแซง เป็นการรวมพลังของประชาชน ทุกคนเป็นเจ้าของการชุมนุม โดยแกนนำที่มีประสบการณ์และมีเป้าหมายร่วมกันเช่นนี้ รัฐบาลจึงมิอาจดูแคลน สบประมาทพลังของประชาชน 

ในการรบหรือการแก้ไขปัญหาทางการทหาร ต้องมีแม่ทัพที่เก่งกาจสามารถ และมีเสนาธิการทหารที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญทางทหารและการรบ การแก้ไขปัญหาทางการเมืองก็เช่นกัน ต้องแก้ด้วยการเมือง ต้องมีผู้นำทางการเมืองและเสนาธิการทางการเมือง ที่มีความรู้และประสบการณ์ ในทุกปัญหามีทางออก มีทางเลือก มีทางลง 

หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการจะอยู่ในอำนาจอย่างมั่นคง ลงจากอำนาจอย่างสง่างาม ยุติบทบาททางการเมืองเยี่ยงรัฐบุรุษ จำต้องศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาสถานการณ์การเมืองให้ถูกต้อง จึงจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด ยุติปัญหาทางการเมืองที่กำลังส่อบานปลาย กลายเป็นเหตุวุ่นวายและความรุนแรงลงได้ จึงจะสามารถสร้างความสามัคคีปรองดอง รวมพลังสร้างชาติได้จริง จะรับมือและแก้ปัญหาอย่างไร คงได้มีโอกาสเสนอในโอกาสต่อไป