เบนซ์ ยืนยันแจกฟรี Wallbox ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบ 100 ตู้

09 เม.ย. 2564 | 00:25 น.

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยืนยันแจกฟรี Wallbox เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบ 100 ตู้ภายในปีนี้ พร้อมร่วมโครงการ Clean Air Initiative กับบริษัทและหน่วยงานของเยอรมนีในไทย หวังช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

ปี 2563 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวโครงการ Charge to Change พร้อมมอบ Wallbox ตู้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานราชการ-เอกชน ที่สนใจฟรี หวังรณรงค์ให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการชาร์จพลังงานไฟฟ้า หลังจากศึกษาพบว่า เจ้าของรถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริด ไม่ค่อยนำรถไปชาร์จพลังงานไฟฟ้า โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1.ไม่รู้ว่ารถตัวเองชาร์จไฟฟ้าได้ 2.ไม่รู้ว่าต้องไปชาร์จที่ไหน 3.ไม่สนใจที่จะชาร์จ เพราะไม่สะดวก

ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ เซ็นสัญญาพร้อมส่งมอบ Wallbox จำนวนกว่า 70 ตู้ และเตรียมส่งมอบครบ 100 ตู้ ภายในปี 2564

นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการ Charge to Change จะกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในไทยไปแล้วกว่า 20,000 คัน (นับตั้งแต่ปี 2559) และวางเป้าหมายไว้อีกว่าภายในปี 2573 สัดส่วน 50% ของผลิตภัณฑ์จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องเป็น xEVs ซึ่งหมายถึงรวมทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า 100%

เบนซ์ ยืนยันแจกฟรี Wallbox ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบ 100 ตู้

ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังเป็นเจ้าภาพในความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาด Clean Air Initiative โดยร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย หอการค้าเยอรมัน-ไทย รวมถึงบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทอร์คีโด เอเชีย-แปซิฟิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศไทย หวังช่วยแก้ไขปัญหามลพิษ โดยใช้ความความรู้และความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัท

“เมอร์เซเดส-เบนซ์ เชื่อว่า ผู้ประกอบการในภาคการผลิตรถยนต์ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสร้างสภาวะอากาศที่ดีด้วย ซึ่งการนำโครงการ Charge to Change มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Clean Air Initiative จะช่วยสร้างความตระหนัก และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและได้ผล” นาย โฟล์เกอร์ กล่าว

ด้านนายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของโครงการ Clean Air Initiativeกล่าวว่า การทำให้อากาศสะอาดต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเยอรมนี และความร่วมมือของบริษัทเอกชนต่าง ๆ ในการนำเสนอทางเลือกใหม่ในเชิงธุรกิจที่มีความยั่งยืน และเป็นประโยชน์กับผู้คนในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต

การประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในวันนี้จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหอการค้าเยอรมัน-ไทยและสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ที่จะร่วมผลักดันให้ปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยได้บรรเทาเบาบางลงในอนาคต เพราะปัญหามลภาวะ
ทางอากาศจะเป็นสิ่งที่ท้าทายเราไปอีกยาวนานกว่าโควิด-19 อย่างแน่นอน 

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,668 วันที่ 8 - 10 เมษายน พ.ศ. 2564