ปรับครม. เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

27 ก.พ. 2564 | 04:07 น.

ปรับครม. เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ : บทบรรณาธิการ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3657 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 3 มี.ค.2564

ภายหลังศาลอาญาพิพากษาคดี ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ โดยมีการฟ้อง นายสุเทพ และพวก เป็นจำเลยรวมเป็น 39 ราย ซึ่ง 3 ใน 39 ราย เป็นรัฐมนตรีในครม.รัฐบาลประยุทธ์ ทั้ง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 7 ปี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 ปี 16 เดือน นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ทั้ง 3 รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทันที

 ตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ในมาตรา 160 บัญญัติว่ารัฐมนตรีต้อง (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

 การหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากคำพิพากษาจำคุก ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเร่งปรับครม.เร็วขึ้น ประกอบกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา ประชาชนยังคงคลางแคลงใจในการชี้แจงของรัฐมนตรีบางราย เป็นกระแสกดดันให้นายกฯต้องตัดสินใจปรับครม.อยู่ก่อนแล้ว เมื่อ 3 รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งจากคำพิพากษา จึงต้องปรับครม.เร็วขึ้น และเป็นการปรับใหญ่หลายตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ที่มีการปรับครม.ประยุทธ์ 2/2

 การปรับครม.ประยุทธ์ 2/3 รอบนี้ นายกรัฐมนตรีต้องคิดใหม่ โดยต้องปรับครม.ให้สนองโจทย์ภารกิจการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังได้รับผลกระทบโควิด-19 รุนแรง ที่ทุกองคาพยพและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทบล่มสลายลงไปทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจหลายรายมองว่าเป็นวิกฤติที่หนักหน่วงรุนแรงเมื่อเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540

 หลังจากที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิดซิโนแวค 3 แสนโด๊สแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2564 และอยู่ในช่วงวางแผนกระจายวัคซีนออกไป และกำลังได้รับวัคซีนเพิ่มเข้ามาในเดือนพ.ค.-มิ.ย. ความเชื่อมั่นในการต่อสู้ป้องกันโรคจะมีเพิ่มขึ้น อันจะนำไปสู่โหมดของการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมา

 ฉะนั้น เพื่อนำประเทศออกจากวิกฤติ ปรับโหมดประเทศสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง นายกฯต้องฉวยโอกาสนี้ปรับครม.ให้ดีหรือเลวน้อยที่สุด พยายามก้าวข้ามข้อจำกัดและแรงกดดันอื่น นำผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน พร้อมปรับแนวทางการบริหารในทางนโยบายและการขับเคลื่อนไปสู่ภาคปฏิบัติใหม่ ไม่ให้เป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ตามนโยบาย ตามแนวทางของพรรคการเมืองที่เข้าไปบริหาร โดยไม่ได้มองภาพรวมหรือทิศทางในการเดินสู่อนาคต ปรับให้ได้คุณภาพ ปรับให้ได้ประสิทธิภาพ ปรับให้เป็นความหวังประชาชนที่ยากลำบากมากแล้ว