เติม 3 หมื่นล้าน ฟื้นฟู "การบินไทย" ยื่นศาล 2 มี.ค.นี้ ลดทุน-เพิ่มทุน

24 ก.พ. 2564 | 19:00 น.

“ชาญศิลป์” ยันพร้อมยื่นแผนฟื้นฟูการบินไทย 2 มีนาคมนี้ ปรับโครงสร้างหนี้มีความชัดเจน หารือคลังลดทุน-เพิ่มทุน หาเงินกู้ หาแหล่งเงินใหม่ 3 หมื่นล้านบาท เจรจาเจ้าหนี้เช่าเครื่องบินลดค่าเช่าลง 30-50% ลดพนักงานเหลือ 1.3-1.5 หมื่นคน

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การบินไทยพร้อมจะยื่นแผนฟื้นฟูกิจการ ต่อเจ้าหน้าที่พิทักษ์ ศาลล้มละลายกลางได้ในวันที่ 2 มีนาคมนี้แน่นอน ขณะนี้มีความคืบหน้าในการดำเนินการแล้วในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างทุนซึ่งที่ผ่านมาการบินไทยหารือกับทางกระทรวงการคลังมาแล้ว 4-5 รอบ

เพราะกระทรวงการคลังเป็นคีย์ซัสเซสหลักที่สำคัญ เพราะเป็นทั้งผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้ โดยกระทรวงการคลังมองในภาพใหญ่ของประเทศ การบินไทยเป็นจุดสำคัญในการสร้างการท่องเที่ยว สร้างงาน มีผลต่อจีดีพีท่องเที่ยว กระทรวงการคลังก็พิจารณาในประเด็นเรื่องเหล่านี้อยู่ ซึ่งแน่ นอนว่าต้องลดทุน เพราะวันนี้ทุนติดลบแล้ว จะเพิ่มทุนอย่างไร จะมีส่วนที่จะทำอะไรอย่างไรกับการบินไทยคงต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจน

นอกจากนี้การบินไทยยังได้จ้างเกียรตินาคินภัทร เข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินรายใหม่ เพื่อมาทำโครงสร้างทางการเงิน ประมาณการทางการเงิน กำไร ขาดทุน แผนในการหาแหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเงินกู้ หรือในรูปของหุ้น หรือคนที่จะมาร่วมลงทุน วันนี้เกียรตินาคินภัทร ได้เจรจากับเจ้าหนี้ต่างๆ ทั้งเจ้าหนี้หุ้นกู้ เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้ตั๋วเครื่องบิน สถาบันการเงิน 7-8 ราย

การที่เราต้องจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามา  เพราะทางอีวาย จะเก่งเรื่องบัญชี แต่เขาไม่เก่งด้านเรื่องการเงิน ซึ่งเดิมเราก็มีฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาการเงิน แต่เขาไม่ต่อสัญญา เราก็ต้องหาที่ปรึกษาทางการเงินใหม่ โดยเลือกเกียรตินาคินภัทร เพราะเสนอราคามาต่ำที่สุด

“การจ้างที่ปรึกษาทางการเงินนี้ ทีแรกไม่มีประเด็นอะไร เราให้เขาทำทั้งแผนทางการเงิน เจรจาเจ้าหนี้ และหาเงิน แต่พอเดินไปพอจะหาเงินใหม่ มันต้องมีเรื่องค่าธรรมเนียมเมื่องานสำเร็จ (Success Fee) เข้ามา ซึ่งการหาเงิน 3 หมื่นล้านบาท การบินไทยต้องจ่ายค่า Success Fee ให้เกียรตินาคินภัทร 300-600 ล้านบาท มันหนักในเวลานั้น เราก็ตัดเฉพาะจ้างในช่วงแรกก่อนเอาแค่ทำแผนให้ผ่านเจรจาเจ้าหนี้ ส่วนเรื่องของการหาแหล่งเงินใหม่ บอร์ดการบินไทยยังไม่ได้ทำสัญญาในเรื่องนี้กับเกียรตินาคินภัทร เดี๋ยวจากนั้นค่อยมาว่ากันเรื่องของการหาแหล่งเงินใหม่”

นายชาญศิลป์ กล่าวต่อว่าการที่ผู้ทำแผนฟื้นฟูต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาหลายด้าน เพราะการทำแผนฟื้นฟูเป็นเรื่องใหม่ ต้องมีที่ปรึกษามืออาชีพเข้ามา ดังนั้นการตรวจบัญชี ก็มีบริษัทดีลอยท์มาทำหน้าที่ตรวจบัญชี มีบริษัทอีวาย นอกจากเป็นผู้ร่วมทำแผนฟื้นฟู ก็ทำหน้าที่เป็นคอนโทรลเลอร์ดูแลเรื่องของงบประมาณ การใช้จ่าย การเก็บเงินต่างๆของการบินไทยไม่ให้หลุดมาตรฐาน มีเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ เป็นที่ปรึกษากฏหมาย ซึ่งทำงานได้ดีมาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบิน เรื่องคดี เรื่องกฏหมายและสัญญาต่างๆ

รวมถึงการจ้างที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาด้านแอร์ไลน์ ก็มีแมคคินซีย์แอนด์โค เข้ามาเป็นหลักสำคัญในการเจรจาเรื่องเครื่องบิน โดยใช้เวลาเจรจามากว่า 4-5 เดือน เพิ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาการบินไทยจะลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) กับผู้ให้เช่าเครื่องบิน (Lessor) ที่ยอมลดค่าเช่าเครื่องบินให้บางลำลดให้ 30% บางลำลดให้ถึง 50% โดยจะคิดค่าเช่าเฉพาะชั่วโมงที่ใช้บินเท่านั้น ถ้าเครื่องบินจอดอยุ่ก็จะไม่คิดค่าเช่า

ส่วนลำที่ผู้เช่าไม่ยอมลดราคา ถ้าคิดแล้วไม่คุ้มการบินไทยก็ไม่เอา และจะมีการคืนเครื่องบินเช่าก่อนกำหนด โดยการบินไทยจะดูดีมานต์การเดินทางที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคิดว่าอาจจะมีการพิจารณาคืนเครื่องเช่าก่อนกำหนดอยู่ชุดหนึ่ง คาดว่าอย่างน้อยประมาณ 10 ลำ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาหลังแผนฟื้นฟู

สำหรับจำนวนฝูงบินของการบินไทย การบินไทยจะลดแบบเครื่องบิน จากเดิมมี 8 แบบ เหลือ 4 แบบ (รวมเครื่องบินที่ให้ไทยสมายล์เช่าทำการบิน) การลดแบบเครื่องบินก็จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายเรื่องของอะไหล่เครื่องบิน ลดจำนวนนักบินลงจากเดิมมี 5 กลุ่มก็จะเหลือ3-4 กลุ่ม

อีกทั้งการบินไทยยังจะยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขออนุมัติให้ขายเครื่องบินเก่าจำนวน 30-40 ลำขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำเซอร์เวย์เพื่อหาคนที่สนใจซื้อ ซึ่งก็ยอมรับว่าฟีตแบ็คยังไม่ค่อยดี การขายเครื่องบินเรารู้ว่าไม่ได้ขายง่ายได้ในเวลานี้ แต่มันเป็นทรัพย์สินเดียวที่เราจอดไว้จะเกิดการด้อยค่า หรือถ้าขายไม่ได้ก็มีหลายวิธีที่จะบริหารจัดการ

แผนฟื้นฟูการบินไทย

อาทิ ทำเครื่องบินคาร์โก้แล้วประมูลขาย การนำเครื่องบินมาทำร้านอาหาร โดยหากศาลอนุมัติให้ขายได้ ก็จะทำให้การบินไทยมีกระแสเงินสดเข้ามาเพิ่มเติมทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดเข้ามา สามารถอยู่ได้อีกไปถึงเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้

จากก่อนหน้านี้ที่ศาลอนุญาตให้การบินไทยขายทรัพย์สินใน 4 รายการ คือ บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ซึ่งการบินไทยได้ขายหุ้นออกไปแล้วได้เงิน 2.71 พันล้านบาททำให้เพิ่มสภาพคล่องจากเดิมที่จะหมดในเดือนมี.ค.นี้ออกไปเป็นเดือนพ.ค.นี้

รวมถึงยังอยู่ระหว่างการเสนอขายอาคารศูนย์ฝึกอบรมลูกเรือ การบินไทย พร้อมที่ดิน บริเวณหลักสี่ ที่ไม่ได้ใช้งาน เพราะปัจจุบันฐานการบินบริษัทอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขายเครื่องยนต์เครื่องบิน 4-5 ชุด และขายหุ้นสายการบินนกแอร์ 

นายชาญศิลป์ ยังกล่าวต่อว่าสำหรับฝูงบินของการบินไทย ในช่วงแรก จะเหลือฝูงบินอยู่ที่ 50-60 ลำ แต่พอไปอีก 3-4 ปี เมื่อดีมานต์การเดินทางกระเตื้องขึ้นก็อาจจะเพิ่มเป็น70-80 ลำ ซึ่งการยื่นแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย ไม่มีเรื่องการทำแผนเรื่องการจัดซื้อฝูงบินใหม่20-30ลำในปี 68 แน่นอน แม้แต่เครื่องบินโบอิ้ง777-300ER จำนวน 3 ลำ ที่จะต้องรับมอบก็จะขอเจรจาเลื่อนออกไปก่อน

แต่ในแผนธุรกิจของเราเอง ก็มองไว้ว่าถ้าในอนาคตการบินกลับมาฟื้นก็จะมีการเจรจาที่จะเช่าเครื่องบินเข้ามาเพิ่มเติม การทยอยกลับมาบินตามดีมานต์จริงๆ ซึ่งในช่วง 3-5 ปีนี้เราต้องระมัดระวังและรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ เส้นทางบินไหนขาดทุนก็ไม่บิน ถ้าเมืองไหนยังคุมโควิดไม่ได้ก็ไม่บิน บินเฉพาะเส้นทางที่มีกำไร ที่จะเริ่มจากนอร์ทเอเชียก่อน เพราะเจ้าหนี้มองเราอยู่ และถ้าปรับโครงสร้างหนี้แล้วคุณจะธุรกิจขาดทุนอีกเยอะๆไม่ได้ ซึ่งตอนนี้เราจัดการเรื่องของฝูงบินได้แล้ว

ต่อไปก็จะเป็นเรื่องของการเพิ่มรายได้ ที่จะเน้นปรับวิธีการขายตั๋วใหม่ เน้นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการเป็นหลัก เพื่อสร้างความหลากหลายในการขาย การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ที่ลดระดับชั้นในการบริหารลงจากเดิม 8 ระดับเหลือ 5 ระดับ ลดตำแหน่งบริหารจาก 500 อัตราเหลือ240 อัตรา มีการเพิ่มหน่วยงานใหม่ด้านคือฝ่ายขับเคลื่อนองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโครงการกว่า 600 โครงการ ที่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ที่โครงการเหล่านี้คิดเป็นมูลค่าที่บริษัทจะได้รับถึง 3-5 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี

รวมถึงมีฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร มาบริหารจัดการในภาพรวม เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆของบริษํท โดยนอกจากรายได้หลักจากธุรกิจการบิน ที่คิดเป็นสัดส่วนการสร้างรายได้กว่า 90% แต่ในแผนฟื้นฟูต่อไปเราจะกระจายการเพิ่มรายได้ในส่วนของธุรกิจรายได้อื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง เช่นรายได้จากครัวการบิน อย่าง การขายแฟรนไชส์ปาท่องโก๋ การบินไทย ขยายบัฟแอนด์พาย จากปัจจุบันอยู่ที่10% เป็น 50:50เปอร์เซ็นต์ภายใน5-8 ปีนี้

การจัดโครงสร้างองค์กรใหม่การบินไทยจะมีพนักงานอยู่ที่ 1.3-1.5 หมื่นคนภายในปี 64 และ 65 จากปัจจุบันมีพนักงานอยู่ 1.9 หมื่นคน โดยการบินไทยเปิดโครงการเสียสละเพื่อองค์กร และเราพยายามรักษาคนหนุ่มสาวเอาไว้ เพื่อถ้าการบินฟื้นจะได้กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม พนักงานบางส่วนเช่นนักบิน ลูกเรือ ในช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ทำการครบเหมือนเดิม เพื่อรักษาการจ้าง คนที่จะอยู่ก็การสลับกันบิน เช่นลูกเรือปีหนึ่งบิน3-4 เดือน ที่เหลือก็ลาหยุดไม่รับเงินเดือน

นอกจากนี้การบินไทยยังได้จัดหน่วยธุรกิจการบิน คือ ให้ครัวการบิน คาร์โก้ บริการภาคพื้น MRO ที่จะบัญชีของแต่ละหน่วยธุรกิจให้ชัดเจน ซึ่งยังอยู่ในโครงสร้างของการบินไทยอยู่ เพื่อรองรับการดึงพันธมิตรมาร่วมลงทุน ที่เรามองไว้ 3 กลุ่ม คือผู้บริหารสนามบิน อาทิ ทอท. ผู้เชี่ยว ชาญในแต่ละด้าน และลูกค้า โดยการบินไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในการสร้างรายได้ให้แต่ละหน่วยธุรกิจ ซึ่งการหาพันธมิตรต้องอยู่ที่การเจรจา ซึ่งเราต้องแต่งตัวให้ดีก่อน คนถึงอยากจะมาเจรจากับเรา

ในส่วนของสายการบินไทยสมายล์ จะมีการเขียนในแผนฟื้นฟูว่าจะใช้หลัก ROIC (reason /optimization/ integration/ consolidation)ในการพิจารณาการทำงานระหว่างการบินไทยและไทยสมายล์ ผมไม่เคยพูดว่าจะยุบไทยสมายล์ แต่ต้องมีการทำงานร่วมกัน แต่จะควบรวมกับการบินไทยหรือไม่ วันนี้ยัง และจะรวมหรือไม่ต้องพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์กับการบินไทยหรือไม่อย่างแท้จริง เพราะไทยสมายล์ทำต้นทุนไว้ต่ำกว่าการบินไทยมาก

ที่มา : หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,656 วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: