แล้วประเทศเมียนมาจะจบลงอย่างไร?

22 ก.พ. 2564 | 01:15 น.

แล้วประเทศเมียนมาจะจบลงอย่างไร? : คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


คำถามที่มีเข้ามาจากเพื่อนๆ แฟนคลับที่มากที่สุดวันนี้คือ “แล้วประเทศเมียนมาจะจบลงได้อย่างไร?” ซึ่งดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่น่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ผมแทบจะมองไม่เห็นทางออก หนทางที่จะทำให้เกิดสันติภาพเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศเมียนมานั้นยากเย็นจริงๆ ครับ จากที่ผมได้รู้จักกับคนเมียนมาอย่างดีตลอดเวลาในชีวิตผม โดยปัจจัยต่างๆ ของคนเมียนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปนิสัย วัฒนธรรม ความเชื่อ และสิ่งที่เขาได้รับได้สั่งสมมาชั่วอายุคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แทบจะยากมากที่จะไปเกลี้ยกล่อมให้เขาเห็นแก่ชาติบ้านเมืองหรืออะไรก็ตาม มันยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ ที่จะให้แต่ละฝ่ายหยุดดำเนินการขัดแย้งได้ครับ

ที่จะกล่าวมานี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ นะครับ ท่านอ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเล่นๆ นะครับ ส่วนคนเมียนมาเอง ถ้าได้อ่านบทความของผมแล้ว ก็ขอให้ถือเสียว่าเป็นมุมมองของคนต่างชาติคนหนึ่งที่มองชาวเมียนมาก็แล้วกัน อย่าโกรธเกลียดผมเลยนะครับ เอาส่วนที่ผมรู้จักและเข้าใจคนเมียนมา นิสัยส่วนตัวของเขา เขาจะไม่เชื่อใจคนง่ายๆ หรอกครับ เหตุผลคือเขาเองถูกเอารัดเอาเปรียบจากชาวต่างชาติมาตลอดชั่วอายุของเขา หรืออาจยาวขึ้นไปถึงอายุพ่อแม่เขาก็ว่าได้ ทำให้เขาจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกครับ  

อีกประการหนึ่ง ชาวเมียนมาเองมีนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาบอกว่า “สู้” รับรองว่าเอาเป็นเอาตายก็ไม่ยอมแพ้เลยละครับ นิสัยอีกอย่างหนึ่งคือความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก และจะไม่ยอมทำตัวให้ใครดูถูกว่าเป็น “ผู้ขอ” โดยเด็ดขาด หากคุณจะให้อะไรเขา ก็ไม่ต้องถามว่าต้องการสิ่งนั้นหรือไม่ แต่ถ้าคุณให้เขาแล้ว เขาจะไม่ลืมบุญคุณของผู้ให้โดยเด็ดขาด รับรองว่าเขาจะต้องหาทางตอบแทนคุณกลับแน่นอน 
     

ส่วนวัฒนธรรมของชาวเมียนมา แม้จะมีภัยใหญ่หลวงเข้ามาหนักแค่ไหน จะให้เขาเอ่ยปากร้องขอ รับรองว่าเขาจะไม่ทำแน่นอน สิ่งนี้จะเห็นได้จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเมียนมาหลายๆ ครั้ง เขาไม่เคยร้องขอให้ใครเข้าไปช่วยเหลือเลย เขาจะพยายามช่วยเหลือตนเองก่อนเสมอครับ และเขามักจะเชื่อเรื่องของ บาป บุญ คุณ โทษ เสมอๆ และที่เขาเชื่ออีกประการหนึ่งคือเขาเชื่อเรื่องของ “พรหมลิขิต” และเรื่องของชาติภพหน้าชาติภพนี้ หากทำดีในชาติภพนี้ จะส่งผลให้ได้ไปผุดไปเกิดในภูมิภพหน้าที่ดีเสมอ นี่คือเป็นสิ่งที่คนเมียนมาเชื่อมั่นมาตลอดครับ

ทีนี้มาดูกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองและเกิดการประท้วงแบบ “อารยะขัดขืน” ในครั้งนี้ ว่าแล้วจะจบลงได้อย่างไรบ้าง วันนี้ฝรั่งมังค่าคิดว่า จะต้องใช้การบอยคอทประเทศเมียนมา ในความคิดของผมคิดว่า เขาไม่มีทางยอมแพ้ ยกธงขาวถอยหรอกครับ อย่างที่ผมได้กล่าวถึงอุปนิสัยของเขามาแล้ว อีกอย่างในอดีตที่ประเทศเมียนมาถูกบอยคอทด้วยวิธีที่รุนแรงที่สุดมาแล้วเกือบหกสิบปี ในครั้งนั้นเขาก็ไม่สะทกสะท้านเลย ที่ผ่านมาฝรั่งชาติตะวันตกจะปิดประเทศเขา เขาก็ยอมที่จะล้าหลังโดยไม่ได้ดิ้นรนไปร้องขอแต่อย่างใด  

แน่นอนว่าปัจจุบันนี้แตกต่างจากอดีตมาก เพราะคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวสมัยนี้ของเมียนมา ได้รับการศึกษาที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ อีกทั้งยังเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากสื่อได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แต่อย่าลืมว่าคนที่คุมกำลังและครองอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นคนรุ่นหกสิบกว่าทั้งนั้น เขาจะมีมุมมองที่แตกต่างกับคนรุ่นใหม่มาก เขาอาจจะไม่ใยดีกับการถูกแทรกแซงจากชาติตะวันตกก็ได้ 
 

ในส่วนของอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายพรรค NLD ซึ่งผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี ผมก็เชื่อว่าท่านเองก็มีเหตุผลและความชอบธรรมสูงสุด จากการที่ท่านได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งที่กำลังเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ดังนั้นการที่จะให้ท่านถอยโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ รับรองว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ส่วนคนหนุ่มคนสาวที่ออกมาอารยะขัดขืนหรือ CDM ก็ไม่มีทางที่จะยอมกลับไปใช้ชีวิตแบบปลายทศวรรษที่ 19 อีกครั้ง เป็นไปได้ยากเช่นกัน นี่แหละที่ผมได้นำเสนอมาตลอดว่าต้องมีคนกลางที่เขาไว้ใจได้ เช่นประเทศไทยหรือผู้นำอาเชี่ยน ( AEC ) คือประเทศบรูไน เป็นผู้ที่คู่ควรจะเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยให้เกิดสันติภาพได้เท่านั้น

เสียงเรียกร้องนี้ ผมได้เริ่มพูดผ่านรายการ Good Morning Asian มาตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว จากนั้นยังได้พยายามเขียนลงในบทความในหน้าหนังสือพิมพ์และออกสื่อต่างๆ เพื่อช่วยกันกระตุ้นให้ประเทศไทยแสดงบทบาทผู้นำของภูมิภาคนี้มาตลอดแล้วครับ หวังว่ารัฐบาลไทยจะเห็นความสำคัญในสันติภาพของประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดนี้ เพราะหากวันใดที่เขามีปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยภายในประเทศเขา เราอาจจะต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินมาจัดตั้งค่ายอพยพอีกครั้ง ก็เป็นไปได้สูงเลยละครับ ยังมีผลที่ตามมาอีกเยอะมาก ไว้อาทิตย์หน้าผมจะมาวิเคราะห์ให้ดูว่า หากมีความวุ่นวายขึ้นจะมีผลอย่างไรบ้างนะครับ

อย่างไรก็ตามแล้วคำถามที่กล่าวมาจากหัวข้อเรื่องนี้ ผมคิดว่าคงเป็นการคาดเดาได้ยากว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ตัวผมเองที่มีธุรกิจในเมียนมาค่อนข้างจะมาก ก็ได้แต่คาดหวังว่าขออย่าได้เกิดการนองเลือดเลยนะครับ ขอให้ทุกๆ ฝ่าย จงพยายามก่อให้เกิดสันติสุขอีกครั้งเถิดครับ หลังจากที่ประเทศเมียนมาได้เสพสันติสุขนี้มาตลอดสิบกว่าปีมานี้ แม้ว่าสันติสุขนี้ เขาจะได้มาจากประชาธิปไตยที่ไม่เต็มใบเลยก็ตาม แต่ชาวเมียนมาและชาวภูมิภาคอาเชียนนี้ ก็ได้เห็นถึงความหอมหวานมาตลอดสิบกว่าปีนี้มาแล้ว หากทุกฝ่ายจะยอมรอมชอม และเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของประเทศไทย (ถ้าไทยยอมเป็นผู้ไกล่เกลี่ย) สิบกว่าปีมานี้ก็จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอนครับ
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง