ปัจจัยบวกท่วม หนุนกลุ่ม PTTไปต่อ

16 ก.พ. 2564 | 08:00 น.

หุ้นกลุ่มปตท.รับปัจจัยบวกรอบด้าน หลังราคาน้ำมันปรับดีดตัว อีกทั้ง 5 บริษัทในเครือติดอันดับ Gold class ใน S&P Global และส่งลูก OR เทรดครั้งแรก ได้คำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast track 

จากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อีก จากการปรับตัวเพื่อให้อยู่กับสถานการณ์นี้ได้ ด้วยสถานการณ์ที่เริ่มดีขึ้น ส่งผลต่อความต้องการใช้นํ้ามันเพิ่มขึ้น ประกอบกับสต็อกนํ้ามันลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ และซาอุดีอาระเบียลดกำลังการผลิตเพิ่ม สนับสนุนราคานํ้ามันดิบให้ปรับขึ้นสูงในรอบกว่า 1 ปี ซึ่งแน่นอนว่าหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์เต็มที่ คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มปตท. 

ในช่วงนี้หุ้นกลุ่มปตท.มีประเด็นในเชิงบวกหลายด้านนอกจากราคานํ้ามันดิบที่พุ่งขึ้นแล้วตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ยังประกาศว่า 11 บริษัทไทย ติดอันดับ Gold class สูงสุดของโลกจากผลการจัดอันดับในรายงาน “The Sustainability Yearbook 2021” โดย S&P Global ในจำนวนนี้เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย 10 บริษัท และมีบริษัทในกลุ่มปตท.ติดอันดับทั้งหมด 5 บริษัท คือ

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT), บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC)

ขณะที่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ได้รับการประเมินดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices (DJSI)) เป็นปีแรก 

คำแนะนำลงทุนกลุ่มปตท.

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2563 ของกลุ่มปตท. ประกาศแล้ว 2 บริษัท คือ IRPC มีกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2563 ที่ 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 413% จากช่วงเดียวกันปี 2562 ที่ขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 6,151.7 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 424% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีผลขาดทุน 1,174 ล้านบาท และ PTTEP มีกำไรสุทธิไตรมาส 4 ที่ 2,527 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,620 ล้านบาท

ด้านกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 22,664 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 48,803 ล้านบาท ส่วนอีก 5 บริษัท มีการคาดการณ์ คือ PTT คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4 อยู่ที่ 17,000 ล้านบาท, PTTGC อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท, GPSC อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และ TOP อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ยังเป็นวันแรกของการซื้อขายหุ้น บริษัท ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค ลักษณะธุรกิจของบริษัทประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ทั้งในและต่างประเทศ

ซึ่งรวมถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ ธุรกิจกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ร้านสะดวกซื้อและการบริหารจัดการพื้นที่ โดยเปิดซื้อขายที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 8.50 บาท หรือ 47.22% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่หุ้นละ 18.00 บาทส่งผลให้หุ้น OR ได้เข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast track ซึ่งหุ้น OR ถือเป็นหุ้น ไอพีโอ ที่มีการทำรายการจองซื้อหุ้นที่สูงที่สุดในตลาดทุนไทยด้วยจำนวนกว่า 530,000 รายการ

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัดเปิดเผยว่า เศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว หนุนให้ราคานํ้ามันดิบปรับตัวขึ้น เป็นบวกต่อหุ้นนํ้ามันอย่าง PTT รวมถึงผลการดำเนินงานค่อยๆฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในภาพใหญ่

โดยทิศทางผลการดำเนินงานของ PTT ในปี 2564 จะเห็นการปรับตัวขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ขณะที่ แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2563 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากธุรกิจก๊าซและโรงแยกก๊าซของ PTT และจากความต้องการใช้ที่กระเตื้องขึ้นตามเศรษฐกิจ 

ขณะเดียวกัน ในปี 2564 คาดว่า OR จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโต 41.2% เมื่อเทียบกับปี 2563 อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ส่วนระยะยาวตั้งแต่ปี 2564-2567 คาด OR จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย CAGR ที่ 16.7% ต่อปี โดยใช้ปี 2563 เป็นปีฐาน จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว และการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดสถานีบริการนํ้ามัน 108 แห่งต่อปี และเปิดสาขาคาเฟ่อเมซอน เพิ่ม 418 สาขาต่อปี ตามเป้าหมายหลักของ OR ด้านกลุ่มธุกิจต่างประเทศ มีการเปิดสถานีบริการนํ้ามันปีละ 35-36 แห่ง และขยายสาขาคาเฟ่อเมซอนปีละ 35-36 สาขา 

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,653 วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564