บีไอไอชี้อุตสาหกรรมการแพทย์โต 165% ปี 63 มูลค่าลงทุนกว่า 2.22 หมื่นล.

10 ก.พ. 2564 | 07:10 น.

บีไอไอชี้อุตสาหกรรมการแพทย์โต 165% ปี 63 มูลค่าลงทุนกว่า 2.22 หมื่นล้านบาทหนุนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า การลงทุนในปี 63 ที่ผ่านมา  มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,717 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 4.81 แสนล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 2.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น ซึ่ง 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าลงทุน 5.03 หมื่นล้านบาท ,2.การเกษตร และแปรรูปอาหาร 4.11 หมื่นล้านบาท ,3.ยานยนต์ และชิ้นส่วน 3.77 หมื่นล้านบาท ,4.ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ 3.6 หมื่นล้านบาท และ 5.เทคโนโลยีชีวภาพ 3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่น่าจับตา ซึ่งคำขอรับการส่งเสริมตลอดปีมีอัตราเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าลงทุน โดยมีจำนวน 83 โครงการ เพิ่มขึ้นจากปี 62 ประมาณ 177% ขณะที่มูลค่าลงทุนรวม 2.22 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 165%

“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 (Covid-19) เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส แม้ในภาพรวมการลงทุนจะชะลอตัว แต่ก็มีบางธุรกิจที่สามารถขยายตัวจากวิกฤตครั้งนี้ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งคำขอรับการส่งเสริมตลอดปี มีอัตราเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าลงทุน  โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในช่วงปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ สอดรับกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะกิจการในกลุ่มของหน้ากากอนามัย และถุงมือยางทางการแพทย์”

ภาวะการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอปี 63

ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 907 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.13 แสนล้านบาท โดยประเทศญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการ และมูลค่าลงทุน จำนวน 211 โครงการ มูลค่าลงทุน 7.59 หมื่นล้านบาท  ตามด้วยประเทศจีน มูลค่าลงทุน 3.14 หมื่นล้านบาท และสหรัฐฯ มูลค่าลงทุน 2.45 หมื่นล้านบาท โดยจุดแข็งของไทยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเอเชียคือ การมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมสนับสนุน วัตถุดิบและชิ้นส่วน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจ Business Conditions of Japanese Companies in Asia and Oceania ของ JETRO ปี 62 ที่พบว่า บริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศไทยในระดับสูงกว่าบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) มีจำนวน 453 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 2.08  แสนล้านบาท แบ่งเป็น จังหวัดชลบุรี 226 โครงการ มูลค่าลงทุน 6.71 หมื่นล้านบาท จังหวัดระยอง 175 โครงการ มูลค่าลงทุน 1.15 หมื่นล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา 52 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.56 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค บริการพื้นฐานและการขนส่ง เป็นต้น

ส่วนคำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) มีจำนวน 17 โครงการ มูลค่าลงทุน 1.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 423% ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยมีศักยภาพ เช่น การผลิตถุงมือทางการแพทย์ และการผลิตอาหาร เป็นต้น

“ปี 63 มีสัญญาณที่ดีจากการลงทุนที่เป็นกิจการเอสเอ็มอี (SMEs ) โดยมีจำนวน 67 โครงการ เพิ่มขึ้น 20% มูลค่าลงทุน 2.49 พันล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์จากผ้า หรือเส้นใยชนิดต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งมีความต้องการสูงขึ้นมาก ประกอบกับบีโอไอให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์เป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19

นางสาวดวงใจ กล่าวต่อไปอีกว่า ทิศทางการส่งเสริมการลงทุนในปี 64 บีโอไอมีแนวทางส่งเสริมในกิจการที่ไทยมีศักยภาพ มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมกับยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างของภาคการผลิตและบริการ เช่น อุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG การแพทย์ อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 157 ราย

ยอดติดเชื้อโควิด 10 ก.พ.64 รายใหม่ 157 ในประเทศ 144 เสียชีวิต 1 คน

หมอธีระวัฒน์แนะตรวจเลือดหาเชื้อโควิด-19ก่อนหากผลบวกค่อยแยงจมูก

"สมุทรสาคร" พบอีก 132 รายติดเชื้อโควิด-19

บีโอไอ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม 100% หนุน บจ.