“Reddit”ทุบกองทุนเฮดจ์ฟันด์กระจุย

31 ม.ค. 2564 | 10:25 น.

“Reddit”ทุบกองทุนเฮดจ์ฟันด์กระจุย ส่งราคาหุ้น GameStop ปรับขึ้นไปมากกว่า 1,000%

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ทางการเงินกำลังพัฒนาไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและการมีต้นทุนที่ต่ำของบริการแอปพลิเคชั่น การที่นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะ กลุ่มทุนการเงิน Wall Street และ นักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) เป็นผลจากการมีแพลตฟอร์มในการรวบรวมอำนาจต่อรอง การรวบรวมข้อมูลและการติดต่อสื่อสารมีต้นทุนต่ำหรือฟรี นักลงทุนรายย่อยในห้อง Wall Street Bets ของเว็บบอร์ด Reddit ได้ต่อสู้กับการเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ทำ ชอร์ตเซล (Short Sell) หุ้น GameStop ด้วยการจัดตั้งกันไปซื้อหุ้น GameStop จำนวนมากจนกระทั่งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ไม่มีหุ้นมาส่งมอบหลังจากการทำชอร์ตเซล และ ทำให้ราคาของหุ้น GameStop ปรับขึ้นไปมากกว่า 1,000% ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานใดๆรองรับ การปั่นหุ้น GameStop ทำให้รายย่อยจำนวนไม่น้อยได้กำไรมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น

การที่นักลงทุนรายย่อยสามารถล้มผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ใน Wall Street ที่มีทั้งประสบการณ์และมีเงินทุนมากกว่าได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในเศรษฐกิจแบบดิจิทัลกำลังพลิกขั้วอำนาจ ปรากฎการณ์เหล่านี้ไม่สามารถอธิบายได้โดยปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียว หากต้องทำความเข้าใจโครงสร้างอำนาจ (Power Structure) และ ภาวะที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจมากขึ้นของตลาดทุน (Democratization of capital market) มีการสร้างอำนาจที่คานอำนาจผูกขาด (Countervailing Power) ตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์อย่าง John Kenneth Galbraith จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นหรือตลาดทุนที่มีโครงสร้างผูกขาดสูงและมีขนาดเล็กเกินไป 

ข้อมูลที่มีการสังเคราะห์อย่างดีจากการทำงานของ สมองกลอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – AI) บนแพลตฟอร์มในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆกำลังเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการลงทุน ตลาดการเงินและธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ประเมินกิจกรรมปั่นหุ้นของรายย่อยกรณีหุ้น GameStop โดยใช้เฟลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ Reddit จะแพร่ระบาดเพื่อต่อสู้กับการทำ Short Sell นักลงทุนสถาบัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ GameStop ได้ระบาดไปยังหุ้นตัวอื่นๆในตลาดหุ้น Wall Street เช่น

อนุสรณ์ ธรรมใจ

AMC (หุ้นธุรกิจโรงภาพยนตร์) Bed, Bath&Beyond (กิจการเครือข่ายกิจการค้าปลีกในทวีปอเมริกาเหนือ) Blackberry (บริษัทมือถือ) รวมทั้งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยผ่าน ห้องการลงทุน ในเว็บไซต์พันทิป ได้ พฤติกรรมเลียนแบบจะเกิดขึ้นในตลาดการเงินหลายประเทศ เช่น มาเลเซียก็มีกลุ่มนักลงทุนรายย่อยปั่นหุ้นบริษัทกิจการยาง เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับ GameStop กำลังเกิดขึ้นนอกสหรัฐฯ เช่นกับ Nokia บริษัทมือถือที่ราคาปรับขึ้นมาไม่สะท้อนมูลค่าหรือปัจจัยพื้นฐานของบริษัท    

สภาวะแบบนี้จะดำรงอยู่และแพร่หลายไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่คนต้องหยุดงานอยู่กับบ้านจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (Covid-19) ทำให้เกิดนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่จำนวนไม่น้อยในตลาดหุ้น ต้องการหาเงินในช่วงเวลาสั้นๆมากขึ้นประกอบกับดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษจากการทำผ่อนคลายปริมาณเงิน หรือ QE อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่า การปั่นหุ้นของรายย่อยสู้การทุบราคาหุ้นของเฮดจ์ฟันด์จะจบลงด้วยการขาดทุนจำนวนมหาศาลของนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาลงทุนในภายหลัง

เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวที่ถูกปั่น ราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐานและผลกำไรที่บริษัทจะสามารถทำได้ค่อนข้างมาก  การซื้อขายหุ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับแต่ใช้อำนาจต่อรองจากเทคโนโลยีที่เปิดให้ทำได้ จะทำให้เกิดการสะสมฟองสบู่ลูกใหญ่และพร้อมแตกตัวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินรอบใหม่ได้ ราคาหุ้นอย่าง GameStop คงไม่สามารถอยู่ในระดับราคา 325 ดอลลาร์ต่อหุ้นได้ในระยะยาวเนื่องจากมูลค่าแท้จริงอาจอยู่เพียง 10-30 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับ หุ้นบางตัวในตลาดหุ้นไทยที่ราคาพุ่งขึ้นเกิดปัจจัยพื้นฐานมากกกว่าปรกติย่อมเป็นผลจากการปั่นราคาทั้งสิ้น ซี่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ควรต้องเอาใจใส่เพื่อให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพและเป็นการปกป้องนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมตามแห่ของนักลงทุนรายย่อยอย่างกรณี GameStop ก็จะช่วยคานอำนาจการเทขายชอล์ตเซลเก็งกำไรเกินขนาดของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้เช่นเดียวกัน  

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า โลกาภิวัตน์แห่ง Data กำลังปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจในตลาดการเงินและเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นโดยเทคโนโลยี Blockchain มากขึ้นแต่อำนาจผูกขาดและความเหลื่อมล้ำจะไม่ได้ลดลงได้โดยง่าย กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทางการเงินยังคงมีอำนาจผูกขาดในตลาดการเงินอยู่ ภาวะไร้เสถียรภาพจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไรจึงเป็นสภาวะปรกติ สร้างความเสี่ยงและภาวะผันผวนไร้เสถียรภาพได้ตลอดเวลา

 

บางประเทศอาจสูญเสียอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจตัวเองและรายได้ภาษีหายไปจำนวนมากจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีดิจิทัล รายได้ของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีของหลายประเทศและไม่สามารถไปตามเก็บได้ การออกกฎหมายภาษีใหม่ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีมีความจำเป็นเท่าๆกับการออกกฎหมายมากำกับเพื่อให้ผู้บริโภค หรือ เจ้าของข้อมูล มีอำนาจต่อรองมากขึ้น ทุกวันนี้เราได้เซ็นยินยอมให้บริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลใช้ข้อมูลของเราได้อย่างเต็มที่อย่างไม่รู้ตัว

ขณะที่ธนาคารกลางของหลายประเทศรวมทั้งไทยจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมปริมาณเงินในประเทศตัวเองเมื่อ Cryptocurrency และ Digital Money ในรูปแบบต่างๆแพร่หลายมากกว่านี้ และเป็นเรื่องยากที่ ธนาคารกลางจะสกัดกั้นกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอันมีรากฐานจากปรัชญาของการกระจายอำนาจ กระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ฝังอยู่ในนวัตกรรมดิจิทัลเหล่านี้ ขอให้ ทางการไทย และ ภาคธุรกิจเอกชนไทย เตรียมตัวสำหรับ ควอนตัม คอมพิวติงค์ Quantum Computing

และการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain ด้วย อุปกรณ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ Quantum Computer สามารถประมวลข้อมูลสังเคราะห์ได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว ระบบเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน และ ธุรกิจอุตสาหกรรม จะเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีพลวัตมากยิ่งกว่าเดิม และจะมีองค์กรจำนวนมากต้องล่มสลายลงและผู้คนตกงานจำนวนมากหากปรับตัวไม่ได้ หากปรับตัวก็จะเกิดโอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างมากมายเช่นกัน ขณะที่ธุรกิจในไทยไม่เกินสองแห่งที่เรียนรู้อย่างจริงจังในการนำคอมพิวเตอร์ควอนตัม มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งต่างจากบริษัทในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป ในจีน ในเกาหลีใต้ ในไต้หวันและสิงคโปร์ ที่รัฐให้การส่งเสริมและสนับสนุน จึงขอแนะนำให้รัฐไทยต้องมียุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ ต้องสร้างสภาวะแวดล้อมและกฎระเบียบที่สนับสนุน รวมทั้งลงทุนในระบบการศึกษาและการวิจัยด้วย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“วัคซีนโควิด-19” คนไทยรู้จักไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคมากที่สุด

ข่าวดี ศบค.เผย ตัวเลขติดเชื้อโควิดจำกัดพื้นที่เหลือ 12 จังหวัด 

โควิด-19 ระลอกใหม่ "สมุทรปราการ" ติดเชื้อวันเดียว 20 ราย

โล่ง! รพ.แม่สอด ผลตรวจเชื้อโควิดเป็นลบทั้งหมด

"ดีเจมะตูม" ติดเชื้อ "โควิด-19" รร.บันยันทรียันทำตามมาตรการสาธารณสุข