จับ 50 ผู้ประกอบการทุจริต “เราเที่ยวด้วยกัน”

27 ม.ค. 2564 | 06:10 น.

ตร.จับเครือข่ายโรงแรมพื้นที่ จ.ชัยภูมิ-ภูเก็ต ทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน พบทำเป็นขบวนการใหญ่ 50 ผู้ประกอบการ ฉ้อโกงเงินรัฐรวมกว่า 100 ล้านบาท เตรียมประสาน ปปง.เอาผิดฐานฟอกเงิน ด้าน รองกก.ผจก.ธนาคารกรุงไทย เผย ยังมีอีกในแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก-เมืองรอง

27 มกราคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผบช.ก. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผบก.ป. นายเขมพล อุ้ยตระกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาส รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง กระทรวงการคลัง นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ธนาคารกรุงไทย

 

ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ผู้ต้องหา 50 ราย หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบปราม กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุด

 

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ได้แถลงผลการปฏิบัติงาน เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการที่มีประโยชน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน ในภาวะลำบากแต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งทุจริต ซึ่งมีจำนวนมาก ทั้งนี้ ได้ออกหมายจับผู้ประกอบการที่อยู่ในขบวนนี้ 2 ที่ ในจ.ชัยภูมิ มีหมายจับ 41 คน จับได้ 36 คน และจ.ภูเก็ต จับได้ 14 คน

 

ทั้งนี้ ยืนยันว่า หากสอบสวนพบว่ายังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติมจะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่ม เช่น ประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิ์ในลักษณะทุจริต โดยเบื้องต้นคาดมีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศ และเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ จากการตรวจสอบถึงวันนี้ยังไม่พบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง

 

พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า จากการสืบสวนร่วมกันของบก.ป. ศปอส.ตร. และบช.ทท. พบมีผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการเข้าข่ายทุจริตหลายรูปแบบ เช่น เปิดให้มีการจองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง, นำคูปองที่ได้รับหลังเช็คอินห้องพักไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าแต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียนถูกต้องแต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก หรือมีการตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด

 

โดยที่จ.ชัยภูมิ ชุดปฏิบัติการกก.3 บก.ป. นำโดยพ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 41 ราย 38 จุด แบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย เจ้าของร้านค้า 22 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์หรือสวมสิทธิ์ 14 ราย ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 1 ราย ทั้งนี้มีการกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และศรีษะเกษ

ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 36 ราย ซึ่งพบว่ามีพฤติการณ์ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กมีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือนก.ค. 63 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิโครงการจำนวน 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้อง เต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็คอินและเช็คเอ๊าท์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน

 

นอกจากนี้ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจากเช็คอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติรวม มูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท รวม 14,000,000 บาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 101 ร้าน ความเสียหายประมาณรวม 87,000,000 บาท

 

พ.ต.อ.เอนก กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการโดยจะมีผู้ซื้อสิทธิ ตามหาซื้อสิทธิในโครงการโดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้วผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอพพลิเคชั่นเป๋าตังก่อน จากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปองหรืออีกวิธีหนึ่งคือจะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิโดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท

 

เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้ว จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ ซึ่งหลังจากที่ผู้สวมสิทธิทำการเช็คอินตามห้องพักที่ได้ทำการจองไว้ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็คอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม

 

พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า ส่วนที่จ.ภูเก็ต ชุดปฏิบัติการของกก.5 บก.ป. นำโดยพ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมธาราป่าตอง และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วยเจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์หรือสวมสิทธิ์ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 4 ราย มีประชาชนร่วมทุจริตรวมกว่า 800 ราย

 

ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 14 ราย มีพฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไป โดยโรงแรมจะร่วมมือกับผู้จัดทัวร์มีการเชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิจะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืนโดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็คอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 2 ร้านค้า ความเสียหาย 3.9 ล้านบาท

 

ขณะที่พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวเตือนว่า สำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนฯ และข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ

 

ทั้งนี้พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยัง ปปง. ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ส่วนใครที่ยังคิดจะทำในลักษณะนี้อยู่ ก็ขอเตือนให้หยุดกระทำ เพราะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงแรมอื่น ยังมีอยู่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด จะแบ่งมอบหมาย ให้แต่ละภาคดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังและ ททท.แจ้งมา

 

นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงไทยหลังจากตรวจพบความผิดและมีการอายัดตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.2563 มีความเสียหายบางส่วน ส่วนเรื่องพฤติกรรมนั้น ไม่แน่ใจว่าพบมานานหรือยัง จริงๆ พบมาเป็นหลักเดือน แต่ความชัดเจนเพิ่งพบเมื่อตอนสิ้นปี โดยมีสองส่วนที่พบความผิดปกติคือโรงแรม และอีกส่วนคือประชาชนที่ใช้สิทธิ์ ส่วนที่เราอายัดไปมีจำนวนที่เสียหายไม่ได้มากนัก แต่มีผลกระทบกับโครงการ

 

 

นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมูลค่าที่ตรวจสอบพบประมาณ 1,000 ล้าน แต่ไม่ได้เสียหาย เพราะว่ามีส่วนที่อายัด ต้องเอาสองส่วนมาประกอบกัน แต่ความเสียหายที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้สุด ส่วนกรณีที่มีการทุจริตเราสามารถตรวจสอบได้แต่ไม่หมด เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยน เราไม่สามารถเปิดเผยแผนประทุษกรรมได้ เดี๋ยวจะมีการเลียนแบบ นอกจากนี้พื้นที่ภูเก็ตและชัยภูมิที่พบความผิดแล้ว ยังพบในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองโดยส่วนใหญ่

 

ด้านน.ส.สภัทร์พร กล่าวว่า อยากจะฝากเตือนสำหรับโครงการเราชนะ เพราะหลักๆโครงการเอาเงินเข้าแอพ เพื่อจะใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อย่าทำเพราะระบบจะทำการจับได้ว่าออกมาแบบไหนได้ มันผิดวัตถุประสงค์และเงื่อนไขของโครงการ รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เที่ยวไทย ไตรมาส 1 ซบ ขยายเวลา "เราเที่ยวด้วยกัน"  

“เราเที่ยวด้วยกัน”เปิด 5 เงื่อนไขผู้มีสิทธิ์เลื่อนเข้าพักหนีโควิด

ปลดล็อกเลื่อนจองโรงแรม รับ“เที่ยวด้วยกัน”อลหม่าน

สิ้นสุดการรอคอย“เราเที่ยวด้วยกัน"ขยายเวลา-เลื่อนจองชงครม.12ม.ค.นี้

สิ้นสุดการรอคอย "เราเที่ยวด้วยกัน" เปิดให้รับสิทธิ์ใหม่1ล้านคืน 28 ธ.ค.นี้