รายงานของ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด เผยว่า ในปี 2563 ขณะที่จีนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) 163,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐซึ่งตามมาเป็นอันดับสอง ดึงดูดเม็ดเงิน FDI เพียง 134,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการขยับแซงหน้าแชมป์เก่าอย่างสหรัฐ เนื่องจากก่อนหน้านั้นในปี 2562 สหรัฐมีตัวเลข FDI ที่ระดับ 251,000 ล้านดอลลาร์ นำหน้าจีนซึ่งตามมาที่ระดับ 140,000 ล้านดอลลาร์
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อการลงทุนใหม่จากบริษัทต่างประเทศในอเมริกาเมื่อปีที่แล้วลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียสถานะอันดับ 1 แต่ในทางตรงกันข้าม การลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในจีนเพิ่มขึ้น 4% ทำให้จีนทะยานขึ้นเป็นประเทศที่รองรับ FDI มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก และสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในเวทีเศรษฐกิจโลก
นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลขล่าสุดตอกย้ำการเดินหน้าก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก ที่ถูกสหรัฐ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกครอบงำมานาน ทั้งนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในปี 2571
ข่าวระบุว่า การลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐพุ่งสูงสุดในปี 2559 แต่หลังจากนั้นมา การลงทุนในจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ FDI ในสหรัฐฯลดลงทุกปีตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในปี 2563 เมื่อจีนเริ่มสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจจีนก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 4/2563 และยังมีแนวโน้มยังขยายตัวได้ดีในปี 2564 นี้ ข่าวระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนมีการขยายตัว 2.3% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายๆประเทศนอกจากไม่มีการเติบโตแล้วยังเข้าสู่ภาวะถดถอย เศรษฐกิจหดตัวอีกด้วย
รายงานของอังค์ถัดยังระบุด้วยว่า สำหรับ FDI ในภาพรวมทั่วโลกเมื่อปี 2563 นั้นปรับลดลงสู่ระดับ 859,000 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 42% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีตัวเลข FDI รวม 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ภูมิภาคที่ได้รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงมากที่สุดคือเอเชียตะวันออก ครองส่วนแบ่ง FDI ราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด ขณะที่ FDI ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วลดลงถึง 69%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จีนประกาศกม.ลงทุนฉบับใหม่ ดูดบริษัทไฮเทคทั่วโลก
เศรษฐกิจจีนไม่พัง เพราะใช้อสังหาฯเป็นตัวปรับสมดุล
จีนฟื้นฟูเศรษฐกิจสำเร็จประเทศแรกหลังโควิด-19