ผู้ตรวจการฯถกปม “หน้ากาก-วัคซีน” รัฐเอื้อประโยชน์เอกชนหรือไม่ 22 ม.ค.

14 ม.ค. 2564 | 08:54 น.

ผู้ตรวจการแผ่นดิน เตรียมเชิญ ศบค.- สธ.- มท. แจงเรื่อง “หน้ากาก-วัคซีน” 22 ม.ค.นี้ หาข้อเท็จจริงรัฐเอื้อประโยชน์เอกชน

 

วันนี้ (14 ม.ค.64)  พลเอกวิทวัส รชตะนันทน์  ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย  ยื่นร้องให้ตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19ล่าช้า  รวมถึงการผลิตหน้ากากของบริษัท ซีพี ที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์   ว่าที่ผ่านมา ศบค.ก็ทำงานเข้มแข็ง  มีการประชุมแก้ไขปัญหาทุกวัน ประเด็นที่นายศรีสุวรรณร้อง ทางผู้ตรวจจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น  ศบค. สธ.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงมหาดไทย  ในวันที่  22 มกราคมนี้ เพื่อสอบถามข้อมูล  แต่ในระหว่างนี้จะให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่  พูดคุยกับบริษัทเอกชนที่มีการผลิตหน้ากากเมื่อปี 2563  ว่าผลิตแล้วส่งไปที่ไหน ขายได้เท่าไหร่ บริจาคเท่าไหร่ คิดว่าในวันที่  24 มกราคมน่าจะได้ข้อมูล

  

ส่วนในเรื่องการจัดซื้อวัคซีนของไทยล่าช้า เท่าที่ทราบรัฐบาลมีการเตรียมการว่าใน 3 เดือนแรกจะมีการนำเข้าวัคซีน 2 แสนโด๊ส   ซึ่งส่วนมองว่าบริษัทที่ขายวัคซีนมีหลายแห่ง แต่ประเด็นสำคัญคือ วัคซีนที่นำเข้ามานั้น ต้องได้รับการรับรองคุณภาพ  โดย 2 บริษัท  คือ     ได้รับการรับรองมาตรฐาน จึงทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าจะเกิดความปลอดภัย และถ้าหากนำมาฉีดให้กับประชาชนแล้วเกิดหาก็ยังสามารถที่จะตรวจสอบได้  แต่ไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับวัคซีนแล้ว    

 

แต่ที่มองว่า การจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทของจีน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนไทยที่เข้าไปถือหุ้นหรือไม่   พล.อ.วิทวัสกล่าวว่า  เรื่องการเข้าไปถือหุ้นของบริษัทเอกชน เป็นเรื่องยากเพราะมันเป็นสิทธิของเขา  เป็นแข่งขันทางการธุรกิจของเขา     ส่วนตัวมองว่าเรื่องวัคซีนถึงอย่างไรราคาก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วโลกอยู่แล้ว  แต่ควรเน้นในเรื่องของมาตรฐานวัคซีนที่ อย.ต้องรับรอง  ซึ่งในส่วนที่ อปท.จะจัดซื้อวัคซีนฉีดให้กับประชาชนในท้องถิ่นเองนั้น ก็ขอให้ดูว่าวัคซีนที่ซื้อได้มาตรฐานหรือไม่  

    

ส่วนที่มีการ้องเรียนว่าไม่ควรปิดตลาดนัดชุมชน โดยที่ไม่ปิดห้างสรรพสินค้า  ส่วนตัวมองว่าหน่วยงานไม่อยากให้มีการปิดตลาด แต่ถ้าหากพบผู้ติดเชื้อก็คิดว่าควรจะต้องมีการปิด ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกัน ผอ.ตลาดในพื้นที่  กทม. คิดว่าอยู่ที่มาตราการในการคัดกรอง ซึ่งถ้าหากเข้มงวดเรื่องการเข้า-ออกการล้างมือ ใส่หน้ากาก  และเว้นระยะห่าง การติดเชื้อไม่เกิด ก็ไม่ต้องนำไปสู่การปิดปิดตลาด  

ผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดกิจกรรม “ถึงห่างแต่ยังห่วง ปี 2 : ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งความห่วงใยต้านภัยโควิด - 19”

นอกจากนี้ พลเอกวิทวัส  พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต  ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้บริหารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  จัดกิจกรรม “ถึงห่างแต่ยังห่วง ปี 2 : ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งความห่วงใยต้านภัยโควิด - 19”   ส่งมอบหน้ากากอนามัยแบบผ้า  และสเปรย์แอลกอฮอล์ จำนวนกว่า 1 หมื่นชิ้น   ให้ น.ส.อำภา นรนาถตระกูล ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร  ในฐานะตัวแทนกรุงเทพมหานคร และผู้แทนผู้ประกอบการจาก 12 ตลาดในสังกัดกรุงเทพมหานคร   คือ ตลาดประชานิเวศน์ 1 ตลาดรัชดาภิเษก ตลาดธนบุรี ตลาดบางกะปิ  ตลาดเทวราช   ตลาดหนองจอก ตลาดสิงหา ตลาดราษฎร์บูรณะ ตลาดพระเครื่องวงเวียนเล็ก ตลาดบางแคภิรมย์ ตลาดนัดจตุจักรมีนบุรี และตลาดนัดจตุจักร เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนที่เดินทางไปจับจ่ายใช้สอยในตลาดหรือพื้นที่แออัด รวมถึงประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ กทม.

             

พลเอก วิทวัส   กล่าวว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ระลอกใหม่ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีความห่วงใยประชาชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยวันนี้ได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยแบบผ้า และสเปร์ยแอลกอฮอล์ จำนวน 3,000 ชิ้น ให้กับตลาดในสังกัดกรุงเทพมหานคร  12แห่ง คือ ตลาดประชานิเวศน์ 1 ตลาดรัชดาภิเษก ตลาดธนบุรี ตลาดบางกะปิ ตลาดเทวราช   ตลาดหนองจอก ตลาดสิงหา ตลาดราษฎร์บูรณะ ตลาดพระเครื่องวงเวียนเล็ก ตลาดบางแคภิรมย์ ตลาดนัดจตุจักรมีนบุรี และตลาดนัดจตุจักร เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนที่เดินทางไปจับจ่ายใช้สอยในตลาดหรือพื้นที่แออัด รวมถึงประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ กทม.

          นอกจากนี้จะทยอยจัดส่งหน้ากากอนามัยแบบผ้า   ให้แก่ประชาชนที่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนมายังสำนักงาน ในปี 2563 ทั่วประเทศ อีกกว่า 7,000 ชิ้น หวังเป็นอีกกำลังที่ช่วยให้ประชาชนพร้อมรับมือและก้าวผ่านสถานการณ์ระบาดของโควิด- 19 ไปด้วย

      “การแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้  ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทั่วประเทศ  แม้รัฐจะมีมาตรการเฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุมการแพร่ระบาดของโรค อีกทั้งยกระดับมาตรการในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น  แต่ประชาชนต้องตระหนักและร่วมกันป้องกันตนเองโดยการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การล้างมือ  และการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดมีคนจำนวนมาก งดเข้าบ่อน ผับบาร์ สถานบันเทิงทุกชนิด  เป็นหูเป็นตาช่วยเจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”