ทรัมป์โหมไฟ ขยี้ประชาธิปไตยสหรัฐ

09 ม.ค. 2564 | 07:40 น.

อีกเพียง 2 สัปดาห์ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ไม่มีใครคาดคิดว่าคำขู่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่เกริ่นไว้เมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า วันที่ 6 ม.ค.จะมีการต่อสู้ทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เขา สุดท้ายแล้วจะจบลงในรูปการจลาจลล้อมรัฐสภาและมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง 4 คน

 

สหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ ที่ยึดมั่นในรัฐธรรมนูญเหนือสิ่งอื่นใด แม้ในคำประกาศสาบานตนของประธานาธิบดี ยังมีธรรมเนียม สืบกันมายาวนาน โดยผู้จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต้องกล่าวสาบานตนว่า “ข้าพเจ้าขอสาบานอย่างหนักแน่น ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยความสุจริต และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อธำรงพิทักษ์ และปกปักรักษารัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา”

รัฐธรรมนูญที่เป็นหัวใจของการปกครองประเทศสหรัฐมากว่า 200 ปีนั้น ระบุว่าสหรัฐอเมริกามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเป็นผู้ที่ต้องพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย และรัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามหลักของการปกครองโดยความยินยอมเห็นชอบของประชาชน

ซึ่งหลักการนี้จะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต่อเมื่อจัดให้มีระบบการเลือกตั้งในทุกตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งได้รับอาณัติจากประชาชน

ปัญหาของสหรัฐในขณะนี้คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซึ่งมีขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยทรัมป์และกลุ่มผู้สนับสนุนไม่เพียงเรียกร้องให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ในหลายพื้นที่ด้วยการกล่าวหามีการ “โกงเลือกตั้ง” แต่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน หลายมลรัฐมีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ แต่ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิมคือชัยชนะเป็นของนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 

สมาชิกสภาคองเกรสฝ่ายพรรครีพับลิกันจำนวนหนึ่งยืนยันว่าจะออกเสียงคัดค้านชัยชนะของนายโจ ไบเดน ในการประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนับผลคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีจากคณะผู้เลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา

โดยการประชุมครั้งนี้ รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง เป็นประธานการประชุม แต่เริ่มประชุมได้ไม่ทันไร ก็มีม็อบที่สนับสนุนปธน.ทรัมป์ บุกเข้ามาป่วนหลายร้อยคน ไม่รวมที่อยู่บนท้องถนนอีกนับพันคนในกรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวง

จนทำให้ต้องมีการประกาศภาวะ ฉุกเฉินในกรุงวอชิงตันจนกว่าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ (20 ม.ค.)จะผ่านพ้นไป 

มีการประกาศปิดพื้นที่อาคารรัฐสภาเพื่อกระชับพื้นที่คืนสู่ความสงบหลังจากที่สภาต้องปิดประชุมเป็นการฉุกเฉินและอพยพสมาชิกสภา รวมทั้งเจ้าหน้าที่หนีออกไปสู่พื้นที่ปลอดภัยขณะม็อบเข้าบุกล้อม

แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาแถลงพร้อมเผยแพร่คลิปผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ขอให้ผู้ชุมนุม “กลับบ้าน” ได้แล้ว แต่อีกหลายประโยคในถ้อยแถลงดังกล่าว ฟังแล้วไม่อาจคิดไปเป็นอื่น

นอกจากการยั่วยุและโหมไฟความขัดแย้งให้ลุกโชน เพราะเขายืนยันว่าต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนชัยชนะการเลือกตั้งที่ถูกนายไบเดน “ขโมย” ไป ท่าทีดังกล่าวสร้างความวิตกให้กับบรรดาผู้นำนานาประเทศที่มองว่าสหรัฐเป็น “ต้นแบบประชาธิปไตย” พวกเขาหวังว่า ความวุ่นวายที่ยกระดับกลายเป็นความรุนแรงนี้จะจบลงด้วยดี

 

เหตุการณ์ครั้งนี้ ต้องถูกจารึกเอาไว้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 206 ปีที่ “สภาคองเกรส” หรือรัฐสภาของสหรัฐ ถูกบุกรุกจนเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นถึงขนาดมี
ผู้ถูกยิงเสียชีวิต เพราะครั้งหลังสุดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2357 เมื่อสหรัฐถูกอังกฤษบุกในยุคที่มีสงครามระหว่างกัน

อย่างไรก็ดีได้มีการรับรองผลการเลือกตั้งจากสภาคองเกรสเรียบร้อยแล้ว โดยโจ ไบเดน ได้เสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 306 เสียง ขณะที่ทรัมป์ได้ไป 232 เสียง สมาชิกจากรีพับลิกันบางรายที่มีท่าทีก่อนหน้านี้ว่าจะคัดค้านการรับรองผล ได้เปลี่ยนจุดยืนหลังจากมีการจลาจลที่สภาคองเกรส 

ก่อนที่ทรัมป์จะแถลงผ่าน ทวิตเตอร์ของโฆษก ทำเนียบขาว แม้ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง แต่จะส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.นี้ แม้ว่าจะเป็นการสิ้นสุดวาระแรกของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดี แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสร้างอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ผู้นำทั่วโลกต่างออกมาประณามสหรัฐหลังเหตุการณ์จลาจล โดยบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวผ่านทวิตเตอร์ เป็นฉากที่น่าอัปยศในสภา
คองเกรสสหรัฐ ผู้ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสเห็นว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงต่อระบบประชาธิปไตย 

ด้านสก็อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ขอประณามการกระทำที่รุนแรงและหวังว่าจะมีการถ่ายโอนรัฐบาลอย่างสันติตามประเพณีประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของอเมริกัน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ “เศร้าใจ” กับการบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐโดยสถานการณ์เช่นนี้ผู้นำทางการเมือง จะสร้างความประทับใจให้กับผู้สนับสนุน ต้องละเว้นความรุนแรงรวมทั้งเคารพกระบวนการประชาธิปไตยรวมถึงหลักนิติธรรม

ที่มา: หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ  ฉบับที่ 3,643 วันที่ 10 - 13 มกราคม พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

"ทวิตเตอร์" “เฟซบุ๊ก” บล็อคบัญชีประธานาธิบดีทรัมป์ หลังทวีตป่วนมวลชนลุกฮือบุกสภา

ม็อบหนุนทรัมป์นับพันบุกคองเกรส สหรัฐประกาศเคอร์ฟิวเมืองหลวง

ประมวลข่าวเหตุการณ์ “ม็อบหนุนทรัมป์” บุกรัฐสภาสหรัฐ