รศ.ดร.จิรดา สิงขรรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาเคมีประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ในงานเฉลิมฉลองต่างๆ นิยมใช้พลุจำนวนมาก ขณะที่พลุที่มีเสียงดัง มีความอันตรายมากกว่าควันบุหรี่ เนื่องจากมีทั้ง PM 2.5 PAHs Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) ซึ่งมีปริมาณแก๊ส Carbon Dioxide และ Carbon monoxide ค่อนข้างสูง ฉะนั้นจำเป็นต้องจุดในบริเวณที่อากาศเปิดเพื่อให้มีการถ่ายเทได้สะดวก เพราะหากบริเวณที่จุดมีออกซิเจนไม่เพียงพอจะทำให้รู้สึกมึนหัว ซึ่งก็ควรออกจากพื้นที่ดังกล่าวโดยทันที
ที่ผ่านมาเคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับการจุดพลุในช่วงฉลองวันชาติของสหรัฐอเมริกา โดยเทียบเคียงในช่วงก่อนและหลังการจุด 24 ชั่วโมง พบว่าปริมาณฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะถึง 42% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมถึงขณะจุดที่มีปัจจัยอื่นในการกระจายตัวของฝุ่นละอองด้วย
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยโชคดีที่ไม่ได้จุดพลุในปริมาณมหาศาล แต่ก็ยังมีการจุดตามเทศกาลบ้าง ข้อแนะนำคือควรจุดในบริเวณที่กว้าง โล่ง และไม่เข้าไปชิดบริเวณที่มีการจุดมากเกินไป การอยู่ในระยะที่ห่างถือว่าเป็นการป้องกันระดับหนึ่งแต่ไม่สามารถป้องกันมลพิษในท้องฟ้าได้
ทั้งนี้ในพลุมีสารที่เรียกว่า Oxidizing agent หรือ Oxidizer ได้แก่ Nitrate ที่อยู่ในรูปของ Potassium Nitrate ซึ่งเป็นสารก่อระเบิด ส่วนเชื้อเพลิงถ้าไม่ได้ใช้แก๊สก็จะใช้จำพวก Carbon , Sulphur หรือดินปืนแทน ดังนั้นเมื่อเกิดการเผาไหม้จะพบสารมลพิษ Carbon Dioxide มีลักษณะเป็นละอองฝุ่นเมื่อเกิดการเผาไหม้ก็จะเกิดเป็นมลพิษ
นอกจากนี้ ในพลุยังมีแรงดันที่เรียกว่า Ballistic Effect คือเมื่อจุดแล้วแก๊สจะเกิดการขยายตัวเป็นแรงระเบิด Power of Explosion ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้พัฒนาระเบิด ถ้าต้องการให้สูงมากเท่าไหร่ ก็จำเป็นต้องใช้พลังส่งตัวมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งบางประเทศก็จะมีข้อจำกัดของเสียงไม่ควรเกิน 125 เดซิเบล ในช่วง 4 เมตร เพื่อไม่ให้มนุษย์ได้รับเสียงที่ดังเกินไป
“พลุมีเศษกระดาษที่บางส่วนอาจยังไม่ถูกเผาไหม้ ทำให้ละอองพวกนี้ยังอยู่และกลายเป็นมลพิษทางอากาศ เช่นเดียวกับประเทศจีนที่เจอ Sulfur Dioxide และ Nitrogen Dioxide ซึ่งเมื่อสารพวกนี้ถูกแดดก็จะกลายเป็นสารอนุมูลอิสระที่ทำลายชั้นโอโซน และท้ายที่สุดก็จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์”
ไม่ใช่มีเพียงพลุเท่านั้นที่ส่งผลต่อสุขภาพ พบว่าในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองมักมีการนำสเปรย์หิมะมาใช้ ซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือ snow effect และสาร Calcium Carbonate หรือหินปูน ที่ทำให้เกิดการคงตัว โดยสเปรย์ต่างๆ มักมีการใช้สาร มี Acetone ,Butanol ,Methyl Acetate acetic ซึ่งจัดเป็นกลุ่มอันตรายที่ขณะนี้หลายประเทศห้ามไม่ให้ใช้แล้ว ที่สำคัญก็คือภายในกระป๋องจะมีแรงดันสูง หากเกิดแรงกระแทกหรืออุณหภูมิสูงอาจก่อให้เกิดการระเบิดได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวดี สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เช้านี้(31 ธ.ค.) ทั่วไทยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน