“เอ.เจพลาสท์”มั่นใจปี 64 “วิถีใหม่”ดันยอดขายโตสองหลัก

01 ม.ค. 2564 | 01:47 น.

เอ.เจ.พลาสท์ มั่นใจยอดขายทั้งเชิงปริมาณ และมูลค่าปี 64 โตสองหลักตามเทรนด์ New Normal ลุยขยายตลาดส่งออกเพิ่ม แทนตลาดในประเทศแข่งขันเดือด

แม้ด้านหนึ่งผู้ผลิตและจำหน่ายฟิล์มบรรจุภัณฑ์ BOPP รายใหญ่ของประเทศ อย่างบริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศในราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศประมาณ 20% และเป็นราคาที่ขายต่ำกว่าราคาขายในประเทศต้นทาง เป็นเหตุและบริษัทได้ร้องขอให้คณะกรรมการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน(ทตอ.) ที่มีรัฐมนตรีว่การกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้ดำนินการไต่สวนเพื่อพิจารณาการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) สินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์ BOPP เกรดทั่วไปจาก 3 ประเทศได้แก่ มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย ซึ่งได้เปิดไต่สวนนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563  ล่าสุด ทตอ.อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเปิดรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดทั้งกระบวนการ แต่ในแง่ธุรกิจ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป

 

นายทศพล  จินันท์เดช รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ.เจ.พลาสท์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า บริษัทถือเป็นผู้ผลิตฟิล์มบรรจุภัณฑ์ BOPP ที่มีกำลังผลิตมากสุดของประเทศและของภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำลังผลิตเต็มเพดานที่ประมาณ 1.2 แสนตันต่อปี แต่ ณ ปัจจุบันใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 9 หมื่นตันต่อปี ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศมีประมาณ 6 หมื่นตันต่อปี(มูลค่าตลาดปรระมาณ 3,000 ล้านบาท) ทำให้บริษัทต้องทำตลาดทั้งในประเทศและส่งออก

 

โดยในปี 2562 บริษัทมียอดขายรวมทุกผลิตภัณฑ์(ฟิล์ม BOPP  ฟิล์ม BOPET ฟิล์ม BOPA  และอื่น ๆ ) มูลค่า 6,869 ล้านบาท (สัดส่วน 49.07% เป็นรายได้จากฟิล์ม BOPP) โดยแบ่งเป็นตลาดในประเทศสัดส่วน 38.1% (มูลค่า 2,617 ล้านบาท) และส่งออกสัดส่วน 61.9% (มูลค่า 4,252 ล้านบาท) ขณะช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2563 มียอดขายรวม 5,520 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศสัดส่วน 38.6% (มูลค่า 2,131 ล้านบาท) และส่งออกสัดส่วน 61.4% (มูลค่า 3,389 ล้านบาท) โดยภาพรวมทั้งปี 2563 คาดยอดขายรวมจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563ประมาณ 10%

 

ทั้งนี้ตลาดในประเทศมีกลุ่มลูกค้าหลักคือโรงพิมพ์บรรจุภัณฑ์เพื่อขึ้นรูปให้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร  เช่น ผลิตเป็นถุงขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ รวมถึงถุงใส่เสื้อเชิ้ต ถุงใส่ของกิ๊ปช็อป ถุงใส่หนังสือ ซองบะหมี่ ซองท็อฟฟี่ ฉลากขวดน้ำดื่ม เป็นต้น ส่วนตลาดส่งออกเดิมมีเวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดหลัก แต่นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เวียดนามเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด(AD)สินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์จากไทยที่อัตรา 20.35% ทำให้บริษัทเสียความสามารถในการแข่งขัน และเสียโอกาสในการส่งออกไปเวียดนาม 1,200-1,500 ตันต่อเดือน และต้องหาตลาดใหม่ ๆ ทดแทนเวียดนาม รวมถึงอินโดนีเซียได้เรียกเก็บภาษีเอดีที่ 28.40% มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2562 ทำให้บริษัทไม่สามารถส่งออกไปอินโดนีเซียได้ ขณะที่ตลาดส่งออกหลัก ในเวลานี้ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ กลุ่มประเทศในอาเซียน และออสเตรเลีย

 

“เอ.เจพลาสท์”มั่นใจปี 64 “วิถีใหม่”ดันยอดขายโตสองหลัก

 

“ตลาดฟิล์มพลาสติก BOPP ในไทยความต้องการใช้ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4% โดยปี 2562 มีความต้องการใช้ 6 หมื่นตัน ทำให้บริษัทต้องเน้นการส่งออกมากกว่าทำตลาดในประเทศ ทั้งนี้ในปี 2564 คาดการใช้กำลังผลิตของเราจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% ผลจากโควิดที่ยังยืดเยื้อ ส่งผลให้ผู้คนใช้รูปแบบชีวิตวิถีใหม่(New Normal) ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ฟิล์ม BOPP เป็นส่วนประกอบขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารดิลีเวอรี่ ฟิล์มห่อถ้วยชาม  ถุงใส่หน้ากากอนามัย ถุงน้ำมันพืช และอื่น ๆ เป็นต้น ส่วนในแง่ยอดขายคาดการขยายตัวจะขยายตัวได้ในตัวเลขสองหลักเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นกับราคาวัตถุดิบต้นทางที่ขึ้นลงตามราคาน้ำมัน"

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บิ๊กฟิล์ม BOPP จี้พาณิชย์เดินหน้า ไต่สวนเอดี 3 ชาติทุ่มตลาดหนัก

เชิญผู้มีส่วนได้-เสียหารือ จีน-อินโดฯ-มาเลย์ทุ่มตลาด“บีโอพีพี”