ราคาทองฟิวเจอร์ขยับขึ้น หลังธนาคารกลางยุโรปคงดอกเบี้ยตามคาด

10 ธ.ค. 2563 | 13:49 น.

ราคาทองฟิวเจอร์ขยับขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป(ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและขยายโครงการซื้อพันธบัตรในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด

ณ เวลา 20.27 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ปรับตัวขึ้น 4.90 ดอลลาร์ หรือ 0.27% สู่ระดับ 1,843.40 ดอลลาร์/ออนซ์
          

ธนาคารกลางยุโรปจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50%
          

ขณะเดียวกัน ECB มีมติขยายวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) เพิ่มอีก 5 แสนล้านยูโร เป็น 1.85 ล้านล้านยูโร รวมทั้งขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ PEPP จากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนมิ.ย.2564 ออกไปจนถึงเดือนมี.ค.2565 หรือจนกระทั่ง ECB พิจารณาว่าวิกฤตการณ์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
          

นอกจากนี้ ECB ย้ำว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดย ECB จะซื้อพันธบัตรในวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน และ ECB จะดำเนินโครงการ QE เป็นระยะเวลานานเท่าที่มีความจำเป็น
          

การขยายโครงการซื้อพันธบัตรของ ECB เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและการเงิน ท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
         

 ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดทองคำยังจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนด้วยเช่นกัน โดยข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและตลาดน้ำมัน แต่ไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าสภาคองเกรสสหรัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น ได้ช่วยพยุงราคาทองไว้
          

 

นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา แสดงความหวังว่า สภาคองเกรสจะสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ภายในวันที่ 11 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐจะเผชิญภาวะชัตดาวน์
          

ตลาดยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า เพื่อหาทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด