มีธรรมะคนช่วยมาก ขาดธรรมะคนช่วยน้อย

10 ธ.ค. 2563 | 04:38 น.

มีธรรมะคนช่วยมาก ขาดธรรมะคนช่วยน้อย : คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3634 ระหว่างวันที่ 13-26 ธ.ค.2563 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

 

          คำว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ” ในความหมายตามภาษามนุษย์ที่พอเข้าใจได้ ท่านพุทธทาสภิกขุได้ให้คำนิยามไว้ว่าคือ หน้าที่, ความเที่ยงธรรม ยุติธรรม แต่ถ้าถือโดยความหมายทั่วๆ ไปแล้วก็คือ สัจจธรรมความจริง, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, ความมีหลักการ, หน้าที่ และความยุติธรรม

          เหตุที่หยิบยกเรื่องดังกล่าวมาพูดถึง ก็เพราะเห็นการชุมนุมทางการเมืองยุคปัจจุบันที่ดูค่อนข้างเละเทะ หาสาระและแก่นสารไม่ค่อยได้ จึงอยากเตือนสติพวกคณะราษฎร ที่กำลังชุมนุมทางการเมืองอยู่ขณะนี้ พึงได้ตระหนักไตร่ตรองสักหน่อย ในฐานะคนเคยอาบนํ้าร้อนมาก่อน ผ่านประสบการณ์มาก่อนในเรื่องนี้ เห็นบรรยากาศและสถานการณ์การชุมนุมแล้วน่าใจหาย เพราะยิ่งชุมนุมยิ่งจัดอีเว้นต์ บ่อยๆ ต่อเนื่อง มวลชนผู้เข้าร่วมชุมนุมยิ่งน้อยลง ยิ่งสู้ยิ่งปราศรัย แนวร่วมผู้สนับสนุนยิ่งถดถอย หาบันไดลงไม่ถูกว่าจะจบอย่างไร จึงจะเลี่ยงจุดจบที่ไม่ตายก็ติดคุกหรือหนีไปต่างประเทศได้

          ความจริงเรื่องนี้ ถ้าผู้ชุมนุมหรือแกนนำไม่ปิดหูปิดตาตัวเอง หรือหยิ่งทนงลืมตนหลงตัวเองแล้ว ย่อมจะประเมินสถานการณ์การชุมนุมได้ว่า ผู้เข้าร่วมชุมนุมนับวันมีแต่จะถดถอยลดน้อยลง ช่วงที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดนับแต่เริ่มชุมนุมคือช่วง 19-20 ก.ย. มากถึง 50,000-60,000คน แต่หลังจากนั้นมวลชนเริ่มลดน้อยลงโดยลำดับ เดือนตุลาคม เหลือประมาณ 20,000-30,000 คน 

          จากนั้นยิ่งลดลงอย่างน่าใจหายเหลือเพียง 8,000-9,000 คน ไปจนเหลือแค่ 2,000-3,000 คน เท่านั้น และไม่ว่าจะประกาศบิ๊กเซอร์ไพร์ ระดมการชุมนุมใหญ่ชนิดแตกหัก ก็ระดมคนได้ไม่เกินหมื่นคน กลายเป็นม็อบตลกโปกฮา นี่คือตัวเลขฝ่ายความมั่นคง ที่เกาะติดการชุมนุมรายงาน และคือความจริงที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนที่ติดตามข่าว ยากที่ผู้ชุมนุมจะกลบเกลื่อนปิดบังได้

          ถามว่าทำไมม็อบ 3 นิ้วหรือคณะราษฎร จึงมีแนวโน้มที่ถดถอยและกำลังเดินไปสู่ความพ่ายแพ้ล้มเหลว ยากที่จะประสบผลสำเร็จตามข้อเรียกร้อง แกนนำมีแนวโน้มว่าจะต้องเดินเข้าสู่คุกตะรางหรือไม่ก็ต้องหลบหนีคดี ผู้เข้าร่วมอาจพลอยต้องคดีโดนหางเลขเสียอนาคตด้วย คำตอบอยู่ที่ “มีธรรมะคนช่วยมาก ขาดธรรมะคนช่วยน้อย” ครับ เพราะนี่คือหัวใจของการชุมนุมทางการเมือง ที่ผู้มีประสบการณ์ทุกคนพึงต้องตระหนัก แต่เผอิญเด็กๆ เหล่านี้เพิ่งเริ่มหัดชุมนุม พวกเขาจึงไม่มีวันเข้าใจ
ม็อบที่ไร้ธรรมะ ขาดความจริง ไม่มีความถูกต้อง ไร้ความชอบธรรม ไม่รู้หน้าที่ ไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพผู้อื่น ปราศจากความยุติธรรม ย่อมไม่มีคนช่วยขาดกำลังสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ที่สุดย่อมพ่ายแพ้

          การเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พอมีเหตุผลรับฟังได้ แต่เมื่อสภาผู้แทนราษฎร ได้ขานรับข้อเรียกร้องและมีมติให้รับร่างญัตติพ.ร.บ.ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเสนอแล้วการดันทุรังของม็อบก็ยากที่เดินหน้าประเด็นนี้ต่อไป

 

          ส่วนประเด็นที่จะเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก ก็ไร้เหตุผลปราศจากข้อมูลข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีกระทำความผิดอะไรในการปฏิบัติหน้าที่ หรือมีพฤติกรรมในการทุจริต ประพฤติมิชอบในเรื่องใด นอกจากที่ฝ่ายค้านขุดขึ้นมาได้แค่เรื่องพักบ้านหลวง ทั้งๆ ที่นายกฯ บริหารประเทศมาร่วม 7 ปี กลับหาเรื่องเอาผิดไม่ได้สักเรื่อง เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมจึงไม่มีนํ้าหนัก ปราศจากเหตุผลและความจริง ไม่มีความชอบธรรม 

          ครั้นจะอ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญหลังรัฐประหาร ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่มีการผ่านประชามติ พวกตนเองและทุกพรรคก็ยอมรับ เข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว มีการโหวตลงมติเลือกนายกผ่านกลไกสภาฯ พวกตนเองโหวตแพ้ ข้อเรียกร้องเรื่องนี้จึงไร้ความชอบธรรมอีกเช่นกัน ยิ่งนายกขยันทำงาน สร้างผลงานแก้ปัญหาประเทศ ด้วยผลสำเร็จมากมาย ทุกโครงการประชาชนทุกระดับชั้นได้ประโยชน์ร่วมกันเหตุผลของผู้ชุมนุมก็ยิ่งฟังไม่ขึ้น ประชาชนต่างหันมาตระโกนใส่ผู้ชุมนุมว่า เมื่อไหร่พวกแกจะเลิกป่วนเมืองเสียที หัวโจกที่แอบอยู่ข้างหลัง ไปหาเสียงที่ไหนก็โดนไล่พร้อมข้อหาว่า “หนักแผ่นดิน” จะไล่เขาตัวเองกลับโดนไล่เสียเอง

          ครั้นจะเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ ก็ถูก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ จากนิด้า อบรมสั่งสอนไล่ให้ไปทำการบ้านเสียใหม่ก่อนจะพูดเรื่องนี้ เพราะผู้ชุมนุมหรือแกนนำไม่รู้เรื่อง ไม่เคยศึกษา ไม่ทำการบ้าน จำแต่ขี้ปากพวกล้มเจ้ามาพูด เลยพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่รู้ข้อเท็จจริง ขาดความรู้และข้อมูลอย่างน่าละอาย เพราะทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมด เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งสิ้น เพียงแต่มีระบบบริหารและการจัดการแตกต่างกันเท่านั้น และไม่ใช่หน้าที่ที่ใครๆ จะมีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายจัดการในทรัพย์สินของบุคคลอื่นๆ เช่นเดียวกับทรัพย์สินเอกชน 
ส่วนที่มีการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็เป็นเรื่องที่รัฐต้องจัดให้หน่วยงานตามกฎหมาย และมีระบบควบคุมตรวจสอบตามกฎหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์มิได้รีดนาทาเร้นราษฎรหรือดำรงตนอยู่ได้ด้วยการรีดภาษีประชาชน เหมือนระบอบศักดินาในประเทศอื่นๆ หรือในนิยายแบบหนังจีนแต่อย่างใด ครั้นจะยกอุดมการณ์คณะราษฎร 2475 มาอ้าง ก็ปรากฏความจริงว่า คณะดังกล่าวก็คือคณะโจรที่ปล้นสมบัติและทรัพย์สินส่วนพระองค์ไปแบ่งปันกันจนถูกเปิดโปงล่อนจ้อน ว่าคณะราษฎร ใครบ้างที่หาประโยชน์ 

          แถมเมื่อเทียบที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ถือครอง ยังน้อยกว่าที่ดินทรัพย์สินของเศรษฐีเจ้าสัวในเมืองไทยหลายร้อยเท่า แต่กฎหมายยังคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคลทุกคนตามรัฐธรรมนูญ และตามหลักประมวลกฎหมายแพ่ง ว่าด้วยทรัพย์สินไม่เห็นพวกม็อบกล้าไปยุ่งเกี่ยวตอแยขอตรวจสอบทรัพย์สินบรรดาเศรษฐีเหล่านั้นแต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” ด้วย

 

          นอกจากการชุมนุมจะไร้ความชอบธรรมแล้ว พฤติกรรมของผู้ชุมนุมยังหยาบคาย ถ่อยเถื่อน เต็มไปด้วยปัญหาความวุ่นวาย มีแนวโน้มส่อให้เกิดความรุนแรงได้ตลอดเวลา มีการละเมิดกฎหมายโดยมิยำเกรงต่อขื่อแปของบ้านเมือง อยากจะปิดถนนตรงไหนก็ปิดตามอำเภอใจ เจ้าหน้าที่ประกาศ วางสิ่งกีดขวางก็พาพวกใช้เครื่องมือตัดรื้อทิ้ง ทรัพย์สินราชการก็ทุบทำลาย สาดสีให้สกปรกเสียหาย 

          ก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนแก่การทำมาหากินของประชาชนจนเป็นที่เอือมระอาสุดจะทน ก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ทำลายบรรยากาศการค้าขาย การลงทุน สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความเดือดร้อนแก่การเดินทางคมนาคมของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนทั่วไปจึงมองไม่เห็นประโยชน์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการชุมนุม และการชุมนุมยังมีข้อเท็จจริงอีกว่า มีต่างชาติเข้าแทรกแซงครอบงำ สนับสนุน โดยใช้เด็กและกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นเครื่องมือป่วนประเทศไทยอีกด้วย

          จากข้อเท็จจริงนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของนิด้าโพล จึงออกมาว่า การชุมนุมของม็อบ 3 นิ้ว ไร้นํ้ายา ยากที่จะกดดันรัฐบาลได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทพิสูจน์สัจธรรมของการชุมนุมว่า “มีธรรมะคนช่วยมาก ขาดธรรมะคนช่วยน้อย” นั่นเอง หาบันไดลงเสียดีกว่า กลับตัวกลับใจเสียตอนนี้ยังไม่สาย ก่อนที่จะถลำลึกลงสู่หุบเหวแห่งความหายนะของชีวิต เสียหน้ายังดีกว่าสูญเสียชีวิตและสิ้นอิสรภาพน่ะจะบอกให้