เมื่อ ‘ปิยบุตร’ ซัดเปรี้ยง กฎหมายแค่ กระดาษเปื้อนหมึก

04 ธ.ค. 2563 | 10:25 น.

เมื่อ ‘ปิยบุตร’ ซัดเปรี้ยง กฎหมายแค่ กระดาษเปื้อนหมึก : คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3633 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 6-9 ธ.ค.2563 โดย... กระบี่เดียวดาย

 

ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาตัดสิน โดยมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 คดีที่พรรคฝ่ายค้านร้องสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สิ้นสุดลง กรณีอาศัยบ้านพักรับรองในค่ายทหาร โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของผู้ถูกร้องไม่ได้สิ้นสุดลง 
 

กรณีบ้านพักอาศัยของผู้ถูกร้องเปลี่ยนสถานะเป็นบ้านพักรับรองตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติ และเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้ว มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก และกองทัพบกสามารถพิจารณาความหมาะสมในการสนับสนุนงบประมาณค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำประปา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพักอาศัยตามความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้งาน 

เมื่อผู้ถูกร้องเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก จึงเป็นผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกและมีสิทธิได้รับการสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาตามระเบียบ แม้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพลเรือนก็ย่อมไม่มีสิทธิพักอาศัยในบ้านพักรับรองนั้น ประกอบกับการให้สิทธิดังกล่าวให้แก่ผู้มีคุณสมบัติตามระเบียบนั้นเป็นธุรกิจการงานปกติ โดยถือเป็นสิทธิของบุคคลอันนื่องมาจากการดำรงตำแหน่งอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก จึงมีมติเอกฉันท์ว่าความป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด
 

คล้อยหลังตามมาที่เวทีของคณะราษฎร บริเวณ 5 แยกลาดพร้าว คึกคักด้วยถ้อยคำปราศรัยและพฤติกรรมดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญในทันที ทั้งกระทำโดยอ้อมแบบเปรียบเทียบเปรียบเปรยและกระทำทางตรงด้วยวาจาในคำปราศรัย 
 

ถัดมาเช้าวันที่ 3 ธ.ค. 2563 ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า พันธมิตรร่วมกลุ่มมวลชนราษฎร แสดงความคิดเห็นตามมา แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำตัดสินโดยตรงของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา แต่เป็นการปลุกเร้ามวลชนต่อต้านขัดขืน กฎหมาย คำพิพากษา ที่ถ้อยความของปิยบุตรให้ค่าเพียงกระดาษเปื้อนหมึก
 

ที่ต้องหยิบยกถ้อยคำของปิยบุตร ด้วยเหตุว่าเขาเคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายผู้ประสิทธิ ประสาทความรู้ให้ลูกศิษย์ลูกหาในมหาวิทยาลัย
 

ปิยบุตร บอกว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายและคำพิพากษาจะมีค่าบังคับได้ ก็เพราะ “อำนาจ” บังคับให้เกิดผล “อำนาจ” เกิดจากกลไกของรัฐบังคับสั่งการให้บุคคลถือปฏิบัติตาม และบุคคลผู้อยู่ใต้อำนาจยอมรับนับถือและพร้อมเชื่อฟังปฏิบัติตาม

ลำพังแต่ตัวอักษรที่ถูกเขียนเป็นกฎหมายหรือคำพิพากษานั้น ไม่มีค่าบังคับใดๆ ดังนั้น หากบทบัญญัติแห่งกฎหมายและคำพิพากษาต่างๆ ปราศจากซึ่งกลไกรัฐในการบังคับการตามกฎหมาย และ การเคารพเชื่อฟังของคนแล้ว กฎหมายและคำพิพากษาเหล่านั้นก็จะมีค่าเป็นเพียงตัวอักษรและเศษกระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น
 

“กฎหมาย” จึงไม่มีอะไรเลย “กฎหมาย” มีพลังได้ เพราะ มีอำนาจรัฐบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมกับมีคนเชื่อฟังทำตาม
 

“อำนาจ” มีผลได้ เมื่อเราเชื่อว่าตรงนั้นมี “อำนาจ” และพร้อมทำตาม “อำนาจ”
 

หากมนุษย์ฉุกคิดได้ว่า ณ ที่แห่งนั้น จริงๆ แล้ว ไม่มีอำนาจใดอยู่จริง ทุกอย่างอุปโลกน์ขึ้นมา และดำรงอยู่อย่างไร้เหตุผล ไม่สามารถอธิบายให้คนเคารพเชื่อฟังได้ เมื่อนั้น “อำนาจ” ก็ไม่อาจทำงานได้
 

การสู้กับกฎหมายและคำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องเชิญชวนประชาชนคนส่วนใหญ่คนทั้งประเทศให้แสดงออกโดยพร้อมเพรียงกันว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา มันไม่ใช่กฎหมายและคำพิพากษา แต่เป็นเศษกระดาษเปื้อนหมึก
 

ถ้อยแถลงของ ปิยบุตร น่าวิตกอย่างยิ่ง หากบรรดาสาวกและผู้คนหลงใหลเกิดคล้อยตาม เพราะจะเกิดอำนาจเถื่อน อำนาจมืดของกลุ่มบุคคลตามมา ไม่ฟัง ไม่เคารพ กฎระเบียบกติกาในการอยู่ร่วมกันของสังคมใดๆ และจะก่อให้เกิดสังคมวุ่นวายไร้ระเบียบ
 

“ลองหลับตานึกภาพดู หากลงไปแข่งขันฟุตบอล เมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดไม่สบใจตัวเอง แล้วบอกนักฟุตบอลให้ไม่สนใจ ไม่ยอมรับคำตัดสิน กระทั่งชี้หน้าต่อว่าผู้ตัดสินแล้วให้ล้มการแข่งขันเสีย แล้วจะมีเกมฟุตบอลให้ดูกันได้อย่างไร”
 

แน่นอนบ้านเมืองจะเดินต่อไม่ได้ ถ้าใช้กฎหมายบังคับโดยไม่เป็นธรรม และจะเดินต่อไม่ได้ถ้าบังคับใช้กฎหมายถ่ายเดียว โดยกฎหมายนั้นไม่มีความเป็นธรรม ความเสมอภาค  
 

ไม่อาจหาญถกเถียงข้อกฎหมายกับระดับปรมาจารย์อย่างปิยบุตร ที่น่าจะรู้ดีถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ที่ต้องเดินควบคู่กันในสังคม 
 

ว่าแต่ว่าถ้อยแถลงล่าสุด นี่เหมือนจะไม่มีหลักอะไรเลยจริงๆ !!