“สุดารัตน์”หนีม็อบเลยป้าย ตั้งพรรค-ร่วมทีมไหน?

04 ธ.ค. 2563 | 04:38 น.

“สุดารัตน์”หนีม็อบเลยป้าย ตั้งพรรค-ร่วมทีมไหน? : คอลัมน์ห้ามเขียน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3633 หน้า 20 ระหว่างวันที่ 6-9 ธ.ค.2563 โดย...พรานบุญ

ถนนคอนกรีตเสริมใยเหล็กย่านเพชรบุรียาวไปถึงรัฐสภาย่านสามเสน ร้อนฉ่าไปด้วยคำถาม หลัง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-โภคิน พลกุล-วัฒนา เมืองสุข -พงศกร อรรณนพพร” แกนนำชุดใหญ่ไฟกระพริบตบเท้าประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่รับรู้กันว่า ใครอยู่พรรคนี้มีโอกาสเป็นส.ส.มากกว่าพรรคไหน เพราะประชาชนยังต้องตาติดใจในแนวทางของการกำหนดนโยบายที่โดนใจคน

 

แม้มีความพยายามจะอรรถาธิบายจากพรรคเพื่อไทยและคนใกล้ชิดคุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องประกาศถอนยวงลาจากบ้านอันเป็นที่รักเรือนนอนมา 3 จากสาเหตุ

 

1.ความไม่ชัดเจนของกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ในเรื่องการจัดคนลงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

 

2.พรรคเพื่อไทยมีการตั้งกรรมการและอนุกรรมการใหม่ แทนทีมคุณหญิงสุดารัตน์ โดยไม่มีชื่อบุคคลในเครือข่าย ส.ส. ที่เป็นทีมของคุณหญิงสุดารัตน์ แม้แต่คณะเดียว

 

3.การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ปรากฎว่าพรรคไม่อนุญาตให้คุณหญิงสุดารัตน์ลงพื้นที่ช่วยหาเสียง

 

แต่ไม่มีใครเชื่อว่ามาจากเหตุผลนี้ เพราะตอนที่คุณหญิงสุดารัตน์ลาออกจาก “ประธานคณะยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เธอประกาศว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ปรับโครงสร้างการทำงาน แต่ยืนยันว่ายังเป็นสมาชิกของพรรค ที่พร้อมยืนทำงานดูแลทุกข์สุขของประชาชน และจะต่อสู้ร่วมกับประชาชนเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้ผู้มีอำนาจร่วมหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี...บัดนี้ภาระกิจเธอยังไม่บรรลุ

 

นังบ่างงัดคำถามแบบลุงเต๋อ-เรวัติ....เหตุอันใด คุณหญิง-โภคิน-วัฒนา ที่เป็นสัญญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยตัดใจลาออก แล้วเธอกับพลพรรคที่ “มีลมหายใจอยู่ที่การเมืองและเกมแห่งอำนาจ” โดยยึดการเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นศูนย์กลางจะไปทางไหนละพ่อพราน....

พรานฯออกล่าหาข้อเท็จจริงจากคนใกล้ชิดที่พูดคุยกับคุณหญิง และอยู่ร่วมการตัดสินใจในนาทีสุดท้ายมาตอบสภากาแฟได้แบบนี้

 

การตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคของ คุณหญิงสุดารัตน์-โภคิน พลกุล-วัฒนา เมืองสุข-พงศกร อรรณนพพร ที่ถือเป็นแกนนำของพรรคเพื่อไทยนั้นส่วนหนึ่งมาจาก 1.แนวทางการทำงานไม่ตรงกับกลุ่มผู้บริหารพรรคชุดใหม่ที่เดินเกม “เลยป้าย” จากการแก้ไขรัฐธรรนูญไปสนับสนุนคณะราษฎร ซึ่งไม่ใช่การต่อสู้กับการสืบทอดอำนาจของคสช. แต่เป็นการรุกคืบที่การปฏิรูปหรือล้มสถาบัน จนนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมไทยอย่างหนักหน่วงในเวลานี้

 

2.การทำงานของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีการตัดแข้งตัดขาบทบาทของส.ส.ในปีกคุณหญิงสุดารัตน์ทิ้งแทบหมด ผ่านการส่งสัญญาณมาจาก “คุณหญิงอ้อ-นายกฯปู” ด้วยการแต่งตั้งกรรมการชุดต่างๆ แต่ไม่มีสายตรงคุณหญิงสุดารัตน์ ถูกโละทิ้งไม่เหลือเยื่อใย

 

3.พรรคมีการแต่งตั้งคณะกรรมการการเมืองขึ้นมาอีก 1 ชุด มี นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่แทนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ถูกยุบทิ้งไป ทำให้บทบาทการนำในพรรคของคุณหญิงสุดารัตน์ ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง

 

4.มีการตั้งคณะกรรมการชุดที่มีอำนาจสูงสุด หรือ “โปลิตบูโรของพรรคเพื่อไทย” ขึ้นมากำกับดูแลการทำงาน 1 ชุด มีสมาชิกที่เป็นคนตุลา-และสายตรงคุณหญิงอ้อ-พจมาน ดามาพงศ์ เต็มเหนี่ยว และกลายเป็นสายเหยี่ยวในการปฏิบัติทางการเมืองแบบล้มโต๊ะ  

 

กรรมการ “โปลิตบูโรของพรรคเพื่อไทย” มี 7-8 คน นำโดย “คุณแจ๋ว”จุฑารัตน์ เมนะเศวต เพื่อนสนิทจากเซ็นโยเซฟต์ของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์  ที่ว่ากันว่าคุณแจ๋วเธอคุมเงินและการใช้จ่ายแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

ภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมว.คมนาคม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน  นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.ไอซีที และอดีตรมว.คลัง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รมว.ยุติธรรม เจ๊แจ๋น-พวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตประธานสรรหาผู้สมัคส.ส. พรรคไทยรักษาชาติ กรรมการบริษัท ไอดีล พร๊อพเพอร์ตี้ แมนเนจเมนท์ จำกัด เป็นคณะกรรมการ

คณะโปลิตบูโรชุดนี้ขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ผ่านการหารือในกลุ่มแกนนำไม่กี่คนและสรุปรวบรัดแจ้งต่อส.ส.ว่า เป็นมติพรรค แม้แนวทางส่วนใหญ่ล้วนไปสอดคล้องกับทิศทางของพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า สอดรับกับการชุมนุมคนรุ่นใหม่นอกสภาฯ ที่มีข้อเรียกร้องไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว

 

ขณะที่สายตรงของคุณหญิงสุดารัตน์ และคณะมองว่า ที่ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกพรรค และพรรคเพื่อไทย เพราะอาจถูกหาข้ออ้างทางกฎหมายมาเล่นงานย้อนหลังได้

 

เนื่องเพราะท่อทางการเงินที่ส่งไปยังม็อบ มีการสืบสาวออกมาจากสายความมั่นคงและกอ.รมน.พบว่า “เงินถูกส่งผ่านจาก เจ๊ จ. และสายของนายกฯ แดนไกล” ผ่านไปทาง พ.ต.อ.คนหนึ่งพุ่งตรงไปยังแกนนำม็อบ เสมือนผู้คอยชักใยคนรุ่นใหม่ให้วิ่งเลยป้ายไปยังสถาบัน...

 

นี่ต่างหากที่เป็นจุดเปลี่ยนเกม ที่ “คุณหญิง” และคณะวิตกกังวลว่า “เกมการเมืองแบบ 2 หน้า” นั้น อันตรายต่อทุกคนอย่างยิ่ง

 

ขณะเดียวกันเมื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว ในอนาคตจะมีพรรคการเมืองที่แข่งขันกันแค่  3 พรรคคือ เพื่อไทย-ก้าวไกล-ประชาธิปัตย์ หากสามารถระดมนักการเมืองและพลพรรคเพื่อไทยที่แพแตกออกมาจาก “พลังประชารัฐ” มารวมอยู่ที่เดียวกัน อำนาจต่อรองทางการเมืองย่อมมีไม่น้อย ยิ่งเป็นกลุ่มที่ประกาศตัวว่า เป็นกลาง ไม่เอาเผด็จการ ก็สามารถปักธงในเมืองหลวงได้ไม่ยาก

 

การถอนตัวจึงบังเกิดขึ้น และมีการทอดสะพานไปพูดคุยกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่ไหลไปยังรัฐบาลโดยสาเหตุที่แตกต่างกัน ทอดรอยยิ้มไปยังพรรคชาติไทยพัฒนาของ “หนูนาบุรี” ที่ต้องการปักธงในเมืองหลวง การส่งสายตาหวานฉ่ำไปยังพรรคกล้าของ “กรณ์” ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวของคุณหญิงจึงเกิดขึ้นเป็น “นัดต่อนัด”

 

เช่นเดียวกับการตั้ง พรรคสร้างไทย-พรรคเป็นธรรม คือการโยนหินถามทาง ในการก้าวเดินของทีมคุณหญิง ที่โดนสตรีเหล็กถีบไสไล่ส่ง...ชัดมั้ย นังบ่าง!