ราคาน้ำมันขายปลีกสัปดาห์นี้จ่อขยับ หลังตลาดได้รับแรงหนุนวัคซีนโควิด-19

30 พ.ย. 2563 | 09:10 น.

ราคาน้ำมันขายปลีกในสัปดาห์นี้จ่อขยับ หลังตลาดได้รับแรงหนุนจากผลความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 บวกปัจจัยโอเปกพลัสที่มีแนวโน้มคงการลดกำลังการผลิตที่ระดับ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน

รายงานจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกสัปดาห์นี้( 30 พ.ย.-4 ธ.ค.63) ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง เคลื่อนไหวที่กรอบ 43-48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 45-50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ 45.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 48.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 47.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้อีก

 

หลังตลาดคาดหวังผลความคืบหน้าการทดลองวัคซีนโควิด-19 ที่มีแนวโน้มในทิศทางบวก เป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมัน อีกทั้งปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯที่ปรับลดลง แสดงถึงความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว

 

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสที่มีแนวโน้มคงการลดกำลังการผลิตที่ระดับ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมสิ้นสุดปลายปี 2563 เพื่อพยุงราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบลิเบียและตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ

ราคาน้ำมันขายปลีกสัปดาห์นี้จ่อขยับ หลังตลาดได้รับแรงหนุนวัคซีนโควิด-19

 

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน นับจากต้นเดือนมีนาคม 2563 ตอบรับปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีแนวโน้มที่ดี หลังหลายบริษัทประกาศผลการทดลองวัคซีน อาทิ AstraZeneca รายงานประสิทธิภาพของวัคซีนที่ระดับ 70 % และสามารถพัฒนาต่อได้ถึงระดับ 90 %โดยสามารถผลิตวัคซีนได้มากกว่า 200 ล้านโดส ภายในปี 2563 และสามารถเก็บได้ภายในระดับความเย็นปกติ ซึ่งสะดวกต่อการขนส่งมากกว่าบริษัท Pfizer ที่ต้องเก็บวัคซีนที่อูณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส

 

อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของวัคซีน AstraZeneca ยังคงน้อยกว่าวัคซีนที่คิดค้นโดย Pfizer ที่มีประสิทธิภาพราว 95 % ขณะที่บริษัท Moderna ได้ประกาศผลความสำเร็จของการทดลองวัคซีน พบว่ามีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 94.5 % และยังสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส

 

อีกทั้ง ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันยังคงถูกกดดันจากตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกมากกว่า 59 ล้านคน และมียอดผู้เสียชีวิตกว่า 1.4 ล้านคน โดยเฉพาะทวีปอเมริกามียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดกว่า 25 ล้านคน รองมาทวีปยุโรป มียอดผู้ติดเชื้อกว่า 17 ล้านคน

ราคาน้ำมันขายปลีกสัปดาห์นี้จ่อขยับ หลังตลาดได้รับแรงหนุนวัคซีนโควิด-19

 

นอกจากนี้ ตลาดจับตามองการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2563 ถึงการตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่มกราคม 2563 โดยซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ส่งสัญญาณที่จะยืดระยะเวลาการปรับเพิ่มกำลังการผลิตออกไปจนถึงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2564 เพราะความต้องการใช้น้ำมันยังคงถูกกดดันจากการแพร่ระบาดรอบสองของโควิด-19 ในหลายประเทศ การยืดระยะเวลาการปรับเพิ่มกำลังการผลิตจะมีส่วนช่วยในการพยุงราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มโอเปกพลัส

 

ประกอบกับบริษัทน้ำมันแห่งชาติลิเบีย ประกาศที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบไปแตะระดับ 1.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังการพูดคุยกับบริษัท Total ซึ่งจะสนับสนุนในการเพิ่มกำลังการผลิต โดยระดับการผลิตที่ 1.25 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้น นับเป็นกำลังการผลิตสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2563 และกันยายน 2563 ที่ระดับ 0.4 และ 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่ากำลังการผลิตก่อนการประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) ที่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 20 พฤศจิกายน 2563 ปรับลดลง 754,000 บาร์เรลสู่ระดับ 488.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งต่างจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 127,000 บาร์เรล สอดคล้องกับกำลังการกลั่นของโรงกลั่นสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น1.3 % สู่ระดับ 78.7 % แสดงถึงความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัว

 

Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 20 rAL0bdkpo 2563 ปรับลดลง 2 แท่นสู่ระดับ 310 แท่น เป็นการปรับลดในรอบ 10 สัปดาห์ เนื่องด้วยสถานการณ์น้ำมันดิบผันผวนค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ทยอยกลับมาดำเนินการผลิตอย่างช้าๆ