นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 2 ที่ติดลบ 12.2% และหลังจากนี้มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ติดลบลดลงมาอยู่ที่ 6% รวมถึงเสถียรภาพทางการคลังยังมีความแข็งแกร่ง อยู่ที่ 241 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4 เท่าของหนี้ระยะสั้น ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 49.4% อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังมีแผนที่จะออกมาตรการ คนละครึ่งเฟส 2 ในวันที่ 1 ม.ค.2564 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงจะทำให้จีดีพีไทยปี 2564 ขยายตัวได้ 3.5-4.5%
“S&P ยืนยันอันดับเครดิตของไทยที่ BBB+ สะท้อนถึงการเงินที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เขาอยากเห็นเพิ่มเติม คือ การลงทุนที่ปัจจุบันไทยมีอัตราการลงทุนที่ต่ำมาก แม้ว่า 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมาก แต่ยังเป็นระลอกแรกของเมกะโปรเจค ดังนั้นการลงทุนในภาครัฐยังมีความสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในกทม.และหัวเมืองต่างๆ”นายอาคม กล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
“คนละครึ่งเปิดเฟส 2 แน่นอน ขอทุกคนดูแลสิทธิตัวเอง อย่าปล่อยโกง”
“อาคม” พูดชัดคนละครึ่งเฟส2 ชัดเจนแล้วเตรียมเสนอ ศบศ.พิจารณาในวันที่ 2 ธ.ค.
นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายของกระทรวงการคลัง ยังเน้นการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสนับสนุน-ผลักดันในโครงการที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้ในอนาคต เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไอทีและดิจิทัล ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ยืนยัน มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพื่อลงทุนในระยะต่อไป โดยรัฐบาลยืนยันจะทำด้วยความระวังและรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อการกู้และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินของเอกชน ดังนั้นจึงขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลยังมีพื้นที่เหลือในการดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
สำหรับเรื่องการดูแลรายได้ นับเป็นวาระที่กระทรวงการคลังให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการปฏิรูปภาษี ที่จะส่งเสริมผลักดันให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งควบคู่กับการมีเทคโนโลยีที่ดี เพื่อให้สามารถจัดเก็บรายได้ รวมถึงขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วย
สำหรับการดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้น กระทรวงการคลัง ยังทำงานสอดประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการดูแลค่าเงินบาท โดยเชื่อว่าหลังจากนี้ธปท. จะมีมาตรการดูแลเพิ่มเติมจากที่ออกไปแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของผู้ส่งออก
“บาทค่อนข้างแข็งมาก ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐและธปท.ดูแลเรื่องนี้ และอาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างเพิ่มขึ้นมา เพื่อทำให้เงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป และจะทำต่อไปเรื่อยๆ ว่าจะทำอย่างไรให้เงินบาทสามารถแข็งขันได้ในระหว่างประเทศ”นายอาคม กล่าว