อดทนรออีก 2 ปี เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ

26 พ.ย. 2563 | 04:25 น.

อดทนรออีก 2 ปี เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ : บทบรรณาธิการ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3630 หน้า 6 ระหว่างวันทื่ 26-28 พ.ย.2563

 

          ก่อนหน้านี้หลายสำนักออกมาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย ว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือเช่นเดียวกับปี 2562 อยู่ที่ 2.4% ได้ จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามการฟื้นตัวของเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4-5 ตัว ไม่ว่า จะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐและเอกชน และการบริโภคภายในประเทศ เป็นต้น 

          ล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาตอกย้ำถึงการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ชี้ไปในทิศทางเดียวกับหลายสำนักว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี จากการปลดล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งภาคการท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุนของต่างชาติกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ 3%

          นายอาคม สะท้อนให้เห็นว่า ตามตัวเลขที่สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์จีดีพีทั้งปี 2563 จะติดลบอยู่ที่ราว 6% นั้นมีความเป็นไปได้ หลังจากจีดีพีไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ติดลบอยู่ที่ 6.4% ลดลงจากไตรมาส 2 ติดลบที่ 12.2 % 

           เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ 4% แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 100% เพราะเป็นการขยายตัวจากฐานที่ติดลบ ทำให้ยังมีช่องว่างอยู่ 9% และหากปี 2565 ขยายตัวอีก 4% จะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าไปสู่ภาวะปกติในปี 2565 ได้

          สิ่งที่นายอาคม คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นบวกได้นั้น รัฐบาลจำเป็นต้องอัดฉีดงบประมาณหรือเม็ดเงินที่ช่วยสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจลงไป โดยเฉพาะเม็ดเงินที่มาจากงบประมาณปี 2564 กรอบวงเงิน 3.3 ล้านล้านบาทนั้น อาจจะต้องกันไว้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจถึง 9.8 แสนล้านบาท  

          รวมถึงเม็ดเงินแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตามพ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่ขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไปแล้วกว่า 100 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 1.5 แสนล้านบาท นั้น ก็ยังมีเงินเหลือที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีก

          นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณเชิงบวก ของนักลงทุนต่างชาติที่มีความมั่นใจมากขึ้น หลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เกือบได้ผล 100% ระหว่างนี้คงต้องหันกลับมาดูว่าไทยจะเพิ่มหรือทบทวนสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน เพื่อดึงทุนต่างชาติให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร

          เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ความมั่นใจ ขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องปล่อยให้รัฐบาลทำงาน และเดินหน้าแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เพราะวิกฤติที่เป็นอยู่นี้ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงแค่ข้ามช่วงคืน และไม่สามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่ทำรายได้ให้กับประเทศ มีสัดส่วนต่อจีดีพีถึง 12% จะต้องขึ้นกับแต่ละประเทศในการเปิดประเทศด้วย