ไทยชูจุดยืน ส่งเสริมใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน

18 พ.ย. 2563 | 08:14 น.

ประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 38 เริ่มแล้ว ครม.ไฟเขียวชูจุดยืนไทย ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด แก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน ความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจ พร้อมหนุนเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ให้บรรลุเป้าหมาย 23 % ปี 2568

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบในร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 38 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 17 ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 และร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์

           

ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิก ช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 ในระหว่างวันที่ 18 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 มีเวียดนามเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์

 

ทั้งนี้ จุดยื่นของไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 มีสาระสำคัญ ในการเน้นความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องสู่พลังงานที่มั่นคง เข้าถึงได้ และยั่งยืนในอาเซียน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายตามแผน APAEC พ.ศ. 2559 – 2568 ( APAEC ระยะที่ 1 ปี 2559 – 2563) ซึ่งให้ความสำคัญในการลดความเข้มข้นของการใช้พลังงานในอาเซียน และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในภาพรวมการใช้พลังงานของอาเซียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 23 % ภายในปี 2568


ไทยชูจุดยืน ส่งเสริมใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน

 

โดยยืนยันความจำเป็นที่จะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน ความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคและยินดีกับการขยายการซื้อ – ขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีในภูมิภาคอาเซียนผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (LTMS) ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์

 

ขณะที่ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+3 ครั้งที่ 17 จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม มีสาระหลัก เน้นความสำคัญของความร่วมมือในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 เพื่อไปสู่ความมั่นคงทางพลังงานในภูมิภาค แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในภาคพลังงานอย่างยั่งยืน โดยการเสริมสร้างนวัตกรรมและความเข้มแข็งในความร่วมมือระหว่างกัน ให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน เน้นย้ำถึงการสนับสนุนอันแข็งแกร่งในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ระยะที่ 2 พ.ศ. 2564 – 2568 ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ

 

โดยสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและมุมมองด้านพลังงานในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านพลังงาน การจัดการประชุมหารือและการเจรจาธุรกิจตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พลังงานใหม่ พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน และการประชุมโต๊ะกลมด้านพลังงานสะอาด

ส่วนร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม มีสาระหลัก เป็นการตอบสนองของภาคพลังงานต่อการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีจากประเทศเอเชียตะวันออกร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงในการจัดหาพลังงานสะอาดและสามารถเข้าถึงได้

โดยมีความมุ่งมั่นว่าแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียนฉบับใหม่ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2564 – 2568 จะช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสำหรับภูมิภาคอาเซียนและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการฟื้นฟูด้านพลังงานผ่านนวัตกรรมและกระชับความร่วมมือให้มากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า ผ่านแผนงานความร่วมมือด้านพลังงานของเอเชียตะวันออก ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเป็นสังคมแห่งไฮโดรเจน ก๊าซธรรมชาติ และการจำกัดการใช้และการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายใต้กรอบความร่วมมือ อาทิ ด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับภาคการขนส่งและอื่น ๆ และ ด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก

ไทยชูจุดยืน ส่งเสริมใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน

 

ทั้งนี้ เน้นให้ความสำคัญในด้านการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและการส่งเสริมการเป็นสังคมแห่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การสนับสนุนเพื่อเพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาด LNG ในภูมิภาค และแนวคิดที่จะส่งเสริมการนำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่อีกด้วย

 

รวมทั้ง ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การประกาศความมุ่งมั่นที่จะริเริ่มการซื้อ – ขายไฟฟ้าพหุภาคีข้ามพรมแดนระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรไทย สหพันธรัฐมาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยดำเนินงานภายใต้โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (Lao PDR-Thailand-Malaysia-Singapore Power Integration Project: LTMS-PIP) ที่ระบุถึงปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการ LTMS ระยะแรกจำนวน 100 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2565 – 2566 ผ่านระบบเชื่อมโยงสายส่งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันระหว่าง 4 ประเทศ นับเป็นความมุ่งมั่นของทั้ง 4 ประเทศ ในความร่วมมือด้านการค้าไฟฟ้าพหุภาคีในอาเซียน เพื่อการพัฒนาและต่อยอดโครงการสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สาขาความร่วมมือภายใต้แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน