“กสอ.”ตั้งเป้าเคาะคลัสเตอร์ 29 กลุ่มใหม่ปี 64 ปั้นเศรษฐกิจโตกว่า 100 ล้าน

16 พ.ย. 2563 | 14:30 น.

“กสอ.”ตั้งเป้าเคาะคลัสเตอร์ 29 กลุ่มใหม่ปี 64 ปั้นเศรษฐกิจโตกว่า 100 ล้าน หนุนนโยบายรวมกลุ่มผู้ประกอบการเชิงพื้นที่ กลุ่มธุรกิจ ทางออกวิกฤตเศรษฐกิจได้ผลจริง

              นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า กสอ. มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการผ่านการส่งเสริมทักษะการประกอบการในด้านต่าง ๆ การพัฒนาเทคโนโลยีให้กับกระบวนการผลิตและการแปรรูป การตลาด การบริหารจัดการ รวมทั้งการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยใช้ 2 เครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือในระดับพื้นที่ในการรวมกลุ่มผู้ประกอบการทุกสาขาอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการส่งต่อข้อมูลการดำเนินธุรกิจ การช่วยเหลือกันของผู้ประกอบการในระดับจังหวัดและภูมิภาค ทำให้เครือข่ายผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นการดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จนถึงปัจจุบัน ดำเนินการไปแล้ว 367 รุ่น ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 11,879 กิจการ
              ทั้งนี้  ผลพลอยได้จากการเข้าร่วมโครงการ ทำให้เกิดการผนึกเครือข่ายที่มีความเข็มแข็ง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งยังสามารถให้ความช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ระหว่างเกิดปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เกิดการช่วยเหลือระหว่างกันจนสามารถดดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ

“กสอ.”ตั้งเป้าเคาะคลัสเตอร์ 29 กลุ่มใหม่ปี 64 ปั้นเศรษฐกิจโตกว่า 100 ล้าน

โครงการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม หรือ คลัสเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในระดับธุรกิจที่รวบรวมผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพภายในเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดย กสอ. ได้ขยายผลการขับเคลื่อนการผนึกกลุ่มผู้ประกอบการบนแนวคิด Cluster Hub คือ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเชิงพื้นที่กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานสนับสนุน เพื่อให้เกิดการพัฒนา รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น

และเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งได้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน สามารถพัฒนาคลัสเตอร์ จำนวน 103 กลุ่ม โดยในปี พ.ศ. 2564 มีแผนในการดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์รวมทั้งสิ้น 29 กลุ่ม แบ่งเป็น คลัสเตอร์เกษตรอุตสาหกรรม จำนวน 25 กลุ่ม และคลัสเตอร์กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) จำนวน 4 กลุ่ม คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

              นายณัฐพล กล่าวอีกว่า การดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือ โดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 1 ได้ดำเนินการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบันสามารถพัฒนาคลัสเตอร์เสร็จสิ้นจำนวน 11 กลุ่ม โดยในปี 2563 ดำเนินการส่งเสริมคลัสเตอร์ 2 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย คลัสเตอร์ผ้าทอ ECO และคลัสเตอร์เครื่องมือแพทย์  

หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ กสอ. เล็งเห็นถึงศักยภาพในการส่งเสริมให้เป็นคลัสเตอร์ ในปี 2564 คือ อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง  โดยข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปีที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการผลิตน้ำผึ้งมากเป็นอันดับที่ 36 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) โดยสามารถผลิตน้ำผึ้ง ได้ 1 หมื่นตันต่อปี และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย แคนาดา และจีน จำนวนกว่า 7.9 พันตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 616.59 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกิดคู่แข่งทางการค้า ส่งผลให้ราคาน้ำผึ้งลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากส่งเสริมเป็นคลัสเตอร์ผึ้งจะสามารถพยุงมูลค่าให้ใกล้เคียงกับในช่วงปีที่ผ่านมา เสริมศักยภาพให้กับกระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ผ่านการจัดกาเครื่องจักรกลที่ทันสมัย และยังช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการจัดหาและจับคู่กับผู้ประกอบการในเครือข่ายของ กสอ. อาทิ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ในการนำน้ำผึ้งไปใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงแรมนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาให้บริการกับผู้เข้าพัก

“ในปี พ.ศ. 2564 กสอ. มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด ตลาดนำคลัสเตอร์ เพื่อเป็นพื้นฐาน การส่งเสริมด้วยการวางแผนการพัฒนาคลัสเตอร์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด โดยบูรณาการเครื่องมือ ประกอบด้วย การให้คำปรึกษาแนะนำเบื้องต้นและเชิงลึก การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC 4.0) ตลอดจนบุคลากรและเครื่องมือการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thai-IDC) มาใช้ในกระบวนการพัฒนา โดยมีศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1-11 ซึ่งกระจายตัวทั่วประเทศให้เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและดำเนินงาน Cluster Hub ของพื้นที่”

นางสาวสุวรัตนา ยาวิเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุภาฟาร์มผึ้ง จำกัด กล่าวว่า สุภาฟาร์มผึ้ง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยเลี้ยงผึ้งภายในสวนลำไยของครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในช่วงโควิด19 ยอดขายผลิตภัณฑ์ลดลงกว่า 70% ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 1 จ.เชียงใหม่ ในโครงการแตกกอธุรกิจผ่านการจัดทำโมเดลธุรกิจใหม่ ขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้สูงอายุ มาสู่กลุ่มคนวัยทำงาน โดยให้ใช้แฟลตฟอร์มออนไลน์เป็นเครื่องมือในการขาย ทั้งการนำเสนอโปรโมชัน ผ่านระบบไลฟ์

และการนำเสนอคอนเทนต์ผ่าน Youtube ของสุภาฟาร์ม ปัจจุบันมีกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก จำนวนกว่า 1,215 ราย  โดยน้ำผึ้งที่ผลิตออกมานั้นจะมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นอยู่กับอาหารที่ผึ้งได้รับ ตัวอย่างเช่นน้ำผึ้งจากดอกลำไยจะมีกลิ่นที่หอมกว่าน้ำผึ้งจากเกษรดอกไม้ทั่วไป ซึ่งหากผู้ประกอบการร่วมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผลิตและได้รับการสนับสนุนนวัตกรรมเครื่องจักรกลที่ทันสมัย เชื่อว่าจะสามารถวิจัยเชิงลึกเกี่ยวสรรพคุณของน้ำผึ้งหรือสารสำคัญที่มีเฉพาะในน้ำผึ้งจากประเทศไทย จะสามารถยกระดับคลัสเตอร์ผึ้ง ให้เทียบเท่า กับสมาคมในระดับนานาชาติ