นายเกษมสันต์ วีระกุล ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจธุรกิจอาเซียน หรือ Mr.AEC เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา Dinner Talk “เศรษฐกิจและการลงทุนในยุคโควิด-19 หลังการเลือกตั้งใหญ่ในเมียนมา” ว่า ภาพเศรษฐกิจโลกหลังเลือกตั้งเมียนมา ซึ่งนายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้รับรายงานว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี จ่อคว้าชัยชนะการเลือกตั้ง 2 ครั้งติดต่อกัน ด้วยคะแนน 365 คะแนน ต่อ 361 คะแนน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเนื่องเศรษฐกิจเมียนเติบโตที่ 7% คงที่อย่างต่อเนื่อง สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติสนใจ เข้าประเทศโดยเฉพาะจีน ,อินเดีย แม้เกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบเพราะการติดเชื้อโควิด-19 มีเพียง 3,000 รายเสียชีวิต 1,400 ราย แต่สิ่งที่ต้องรับมือคงหนีไม่พ้นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่เดินหน้าต่อเนื่อง หลังนายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเมียนมา ไทย ซึ่งสหรัฐต้องรักษาดุลการค้าต่อไป โดยใช้เทคนิคที่ไม่รุนแรง แต่อาศัยวิธีการเจรจาการค้าพหุพาคี ซึ่งจะทำให้จีดีพีของสหรัฐฯเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของประเทศในกลุ่มอาเซียน+6 ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 900 ล้านล้านบาท จำนวนประชากร รวม 3,500 ล้านคน หากสหรัฐฯ กลับมาเข้าร่วมการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ทำให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1,000 ล้านล้านบาท ส่งผลให้การเจรจา CPTPP กลายเป็นกลุ่มเจรจาการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียน+6
“คาดการณ์เศรษฐกิจโลก 30 ปีข้างหน้า พบประเทศที่ใหญ่สุดคือ 1.จีน 2.อินเดีย 3.สหรัฐฯ และ4.อินโดนีเซีย ด้านเศรษฐกิจโลกในกลุ่มประเทศอาเซียนอีก 30 ปีข้างหน้า พบว่าประเทศที่ใหญ่สุด คือ 1.อินโดนีเซีย 2.ฟิลิปปินส์ 3.เวียดนาม 4.มาเลเซีย และ5.ไทย ซึ่งในอนาคตเมียนมาอาจจะแซงไทยได้ เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาคงที่อย่างต่อเนื่องที่ 7% ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโตเพียง 3%”
ขณะเดียวกันเมียนมาต้องรับมืออีก 1 เรื่อง คือ สงครามด้านเทคโนโลยี 5G ที่ผ่านมามีการออกกฎหมายให้หัวเว่ย ที่ล้ำหน้ากว่าสหรัฐ โดยห้ามขามผลิตภัณฑ์ที่มีอุปกรณ์ของชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐฯเป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าเมียนมาเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน อีกทั้งเสรีภาพของสื่อมวลชนในเมียนมาดีกว่าไทย เพราะรัฐบาลจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวการทำงาน ส่วนอัตราความโปร่งใสด้านการคอรัปชันดีขึ้นตามลำดับ ทั้งเมียนมาและสปป.ลาว โดยที่ผ่านมาประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเดินทางไปที่ประเทศเมียนมาเพื่อลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จำนวน 33 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมถึงข้อตกลงร่วมลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ท่าเรือน้ำลึกต่างๆ และการเชื่อมโยงเมียนมาเข้าสู่ยุทธศาสตร์การพัฒนาของจีน (Belt and Road Intiative) ซึ่งทำให้จีนและอินเดียในฐานะ 2 ประเทศใหญ่ในแถบอาเซียนพร้อมที่จะสนับสนุนเมียนมา ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่เมียนมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เห็นจากเม็ดเงินจากลงทุนต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการผลักดันโครงการขนาดใหญ่กว่า 80 โครงการ และเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติดีที่สุด “เชื่อว่าโควิด-19 ไม่สามารถทำอะไรเมียนมาได้ เพราะตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ตัวยังคงเดินหน้า ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาครัฐ ถึงแม้ว่าการส่งออก-การนำเข้ายังไม่เกิดขึ้น แต่สถานการณ์ทาเศรษฐกิจยังดูดีและสดใสกว่าไทย เพราะขณะนี้ตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวของไทย ดับทุกตัว”
นายกริช กล่าวต่อว่า หากการเลือกตั้งในเมียนมา โดยพรรคของอดีตนายทหารกองทัพเมียนมา (USDP) เข้ามาจะทำให้สถานการณทางการเมืองวุ่นวาย เพราะที่ผ่านมาทหารมักใช้ความรุนแรงในการแย่งชิงอำนาจมาโดยตลอด แต่เมื่อปี 2561-2562 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น เริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านการลงทุนของต่างประเทศมากที่สุดถึง 3ครั้ง เช่น ภาษีศุลกากร แรงงาน ฯลฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ซึ่งรัฐบาลในยุคนั้นจะฟังเสียงจากประชาชนเป็นหลัก หากประชานเห็นว่ากฎหมายฉบับใดไม่เป็นธรรม รัฐบาลจะมีการปรับแก้กฎหมายใหม่ แต่ในกรณีที่ทหารเข้ามายึดอำนาจและสั่งการประชาชนจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆทั้งสิ้น ยังเชื่อว่าถ้าพรรค NLD ชนะการเลือกตั้ง จะเข้ามาสานต่อเรื่องดังกล่าวให้เดินหน้าต่อไป อีกทั้งยังมีคนรุ่นใหม่อายุราว 40-50 ปี ที่จะเข้ามาสานต่อ ซึ่งจะทำให้เมียนมามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ทั้งนี้กฎหมายของเมียนมาที่เร่งดำเนินการ เป็น กฎหมายเกี่ยวกับเครื่องหมายทางการค้าฉบับใหม่ ซึ่งจะมีอายุการใช้งาน 4 ปี เนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศเมียนมาได้ประกาศการใช้กฎหมายเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า ซึ่งมีอายุการใช้งานสิ้นสุดภายในสิ้นปี 2564 หากผู้จดทะเบียนรายใดที่มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าต้องดำเนินการจดทะเบียนใหม่ หากไม่ดำเนินการจะถือว่ายกเลิกและไม่สามารถใช้เครื่องหมายการค้าได้ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมามีการลอกเลียนแบบ ปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าจำนวนมาก ทำให้ผู้จดทะเบียนที่ต้องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่สามารถจดทะเบียนซ้ำได้ และผู้ที่จดทะเบียนแล้วไม่ดำเนินธุรกิจและขอจดทะเบียนใหม่จะไม่สามารถทำได้ เพราะป้องกันการเรียกค่าไถ่และกีดกันผู้จดทะเบียนรายอื่นไม่ให้จดทะเบียน คาดว่าภายในเดือนมกราคม 2564 จะเริ่มได้ใช้กฎหมายดังกล่าว
หน้า1หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับ3627