9 เดือนปี 63 “บางจาก” ขาดทุน 7.21 พันล้านบาท

11 พ.ย. 2563 | 06:00 น.

“บางจาก”เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 63 ขาดทุน 7.21 พันล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 5.59 บาท

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท บางจากฯ ในไตรมาส 3/2563 ว่ามีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น แต่หากเทียบกับปีก่อน ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างมากและยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่จากโควิด-19 ขณะที่ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง ช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

ทั้งนี้ ใน 9 เดือนแรกของปี 2563บริษัท บางจากฯ มีรายได้ 1.03 แสนล้านบาท ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 1,354 ล้านบาท ลดลง 78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มี Operating EBITDA 6.4 พันล้านบาท โดยมี Inventory Loss 4.88 พันล้านบาท (รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) 28 ล้านบาท) และมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 2.49 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งการด้อยค่าตามมาตรฐาน TFRS 9 จำนวน 913 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรก มีการขาดทุนสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7.21 พันล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 5.59 บาท

9 เดือนปี 63 “บางจาก” ขาดทุน 7.21 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกยังคงทรงตัวและมีความผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส (COVID-19) ระลอก 2 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จนทำให้ต้องประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์การใช้น้ำมันชะลอตัวลง เป็นปัจจัยกดดันให้ค่าการกลั่นทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งกระทบกับธุรกิจโรงกลั่น ขณะที่กลุ่มธุรกิจการตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเริ่มฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ

นอกจากนี้มาตรการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการประกาศวันหยุดพิเศษ หรือนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ คาดว่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 64 จะสามารถกลับมาขยายตัวได้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีแนวโน้มขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว และการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ด้านผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในไตรมาส 3/2563 เริ่มจาก กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน และค่าการกลั่น โดยจะเห็นได้จากค่าการกลั่นพื้นฐานในเดือนมิถุนายนที่ 6.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ในเดือนกันยายนปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ในไตรมาสนี้มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 2.33เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล – ดูไบ (GO/DB) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนการผลิตมากที่สุด ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

อีกทั้งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิต โดยการจัดหาน้ำมันดิบได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดจากผู้ค้าน้ำมันที่สต๊อกน้ำมันไว้ในช่วงที่ราคาถูก อีกทั้งมีการปรับสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ช่วยเพิ่มค่าการกลั่น รวมทั้งได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 95,300 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 79% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Gain (รวมกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ(NRV)) จำนวน 269 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น ในส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCP Trading จำกัด มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักๆ มาจากกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันเตาเกรดกำมะถันต่ำตามมาตรการ IMO ปรับลดลง เนื่องจากอุปทานในตลาดปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับอุปสงค์ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19

กลุ่มธุรกิจการตลาด ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 มี EBITDA 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการจำหน่ายในส่วนของตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการผลักดันการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

ด้านตลาดอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบหลักจากความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าการตลาดรวมสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกที่มีค่าการตลาดสูงกว่าการจำหน่ายผ่านตลาดอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้มีInventory Gain จำนวน 3 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมเดือนมกราคม – กันยายน 2563 อยู่ที่ 15.6% (ตามข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน)

9 เดือนปี 63 “บางจาก” ขาดทุน 7.21 พันล้านบาท

นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า บางจากฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำโครงการ “เที่ยวเมืองไทย ใช้บางจาก” ชวนคนไทยขับรถเดินทางท่องเที่ยวและแวะสถานีบริการน้ำมันบางจากสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัล เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ ยังคงขยายจำนวนสถานีบริการตามแผนการลงทุนให้สามารถรองรับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 มีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 1,223 สถานีในส่วนของธุรกิจค้าปลีกได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้รับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนดังกล่าวทั้งหมดแล้ว

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ผลการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ได้ขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ ทำให้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้น 78% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 227% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มาจากการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 20 เมกกะวัตต์

โดยการลงทุนนี้ช่วยชดเชยผลกระทบจากการเข้าสู่ฤดูฝน นอกจากนี้ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากไม่มีการหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท BCPG ได้อนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1.3 พันล้านหุ้น คาดว่าจะได้เงินทุนเพิ่มราว 1.02 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี นอกจากนี้เงินเพิ่มทุนบางส่วนจะถูกนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมที่มีอยู่ ทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาส 3/2563 มี EBITDA รวม 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 94 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยธุรกิจไบโอดีเซล มีกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น 53% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 146% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น โดยมีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 ที่เพิ่มขึ้นจากการกำหนดให้น้ำมัน B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน

ด้านธุรกิจเอทานอล ผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอทานอลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในกลุ่มแก๊สโซฮอล์ของบริษัทที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังการเปิดตัวแก๊สโซฮอล์ S EVO Family ในขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลเกรดอุตสาหกรรมเพื่อนำไปผลิตเจลแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคปรับลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง

สำหรับผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง สาเหตุมาจากราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 3 ของปีก่อน บริษัท KGI มีการปรับปรุงต้นทุนวัตถุดิบกากน้ำตาลลงมากกว่าในปีนี้ ตามการประกาศราคาเฉลี่ยกากน้ำตาลที่จำหน่ายภายในประเทศ นอกจากนี้บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงทุนในบริษัทซึ่งจดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา และดำเนินธุรกิจในเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ ประเภท Bio-ingredients

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีEBITDA ขาดทุน 58 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 118 ล้านบาท เป็นการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมOKEA ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้ารับรู้ส่วนแบ่งกำไร โดย OKEA มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 แต่มีการรับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากไตรมาสก่อน อีกทั้งมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของแหล่ง Yme เนื่องจากมีการเลื่อนแผนการผลิตและการใช้เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีการรับรู้รายการภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ซึ่งช่วยลดผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส

“OKEA ได้เข้าร่วมทุนในแหล่งปิโตรเลียม Calypso และ Aurora (ที่อยู่ใกล้กับแหล่ง Draugen และ Gjøa ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการผลิตจากการsynergy ร่วมกันได้) ซึ่งอยู่ในระหว่างการสำรวจและเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาสู่การผลิตได้ในอนาคต โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 มูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุนใน OKEA มีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าตามราคาตลาด (Market value)”

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสามารถลดค่าใช้จ่ายตามมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกจะคลี่คลายลงเมื่อใดและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก ทำให้ต้องตั้งตัวให้อยู่ในความพร้อมที่จะรับมือกับโลกอันผันผวนนี้ได้ตลอดเวลา พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น