“เศรษฐพุฒ”รับ ผลโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจไทย แรงและยาว

04 พ.ย. 2563 | 10:40 น.

ผู้ว่าธปท. “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”ยอมรับ ปัญหาโควิด-19 กระทบไทยแรงและยาว เกิดหลุมใหญ่ ต้องใช้เวลา 2 ปีกว่าจะถมหลุมให้กลับมาเท่าเดิม การดำนเนินนโยบายต้องไม่เหมาเข่ง

ก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 21 อย่างเป็นทางการ  นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ก็ใช่ว่าจะเป็นคนอกเสียทีเดียว เพราะก่อนหน้านายเศรษฐพุฒิ เป็นอีกเสียงให้น้ำหนักกับนโยบายการเงินและเศรษฐกิจ จากบทบาทของหนึ่งเสียงใน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มาร่วม 6 ปี

 

นายเศรษฐพุฒิ ให้สัมภาษณ์กับบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจและการเงินกับสื่อมวลชนว่า ผมถือว่าเป็นกึ่งคนนอก กึ่งคนในมาระยะหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามานั่งเต็มตัว ก็จะเห็นว่า ภาพของธปท.ก็ไม่ต่างกัน  เพราะผมขลุกกับคนนอกมาระดับหนึ่ง รู้ถึงสภาพปัญหา ยอมรับว่าปัญหาก่อนเข้ามามันหนัก และต่างกับ วิกฤติปี 40 มาก ครั้งนั้นเกิดกับธปท.โดยตรง และผลกระทบต่อรายใหญ่ คนรวย ทุนสำรองระหว่างประเทศหมด อัตราแลกเปลี่ยนมีปัญหา แต่รอบนี้ผลกระทบกระจายเป็นวงกว้าง และกระทบไปถึงระดับรากหญ้า

 

“เศรษฐพุฒ”รับ ผลโควิด-19  กระทบเศรษฐกิจไทย แรงและยาว

 

“เหตุผลที่ผมเข้ามาตรงนี้ ก็เพราะรู้สึกว่า ปัญหามันแรง คิดว่าน่าจะช่วยได้ ซึ่งก็มีบทเรียนระดับหนึ่งจากช่วงวิฤติปี 40 แต่ปัญหาต่างกันเยอะ ดังนั้นวิธีการจัดการก็ต้องต่างกันด้วย ครั้งนั้นเป็นเรื่องของธนาคารพาณิชย์ ไม่สามารถใช้กลไกของธนาคารแก้ปัญหาได้ แต่รอบนี้ธนาคารมีเสถียรภาพมาก ทุนสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) สูงถึง 19 เท่าสูงเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค จึงสามารถใช้กลไกธนาคารพาณิชย์ในการแก้ไขปัญหาได้”

 

อย่างช่วงที่เกิดวิฤติโควิด-19 แรกๆ เรามองว่า ปํญหาจะแรงและสั้น การแก้ปัญหาทั้งมาตรการการเงินและการคลังจึงจัดเต็มแบบเหมาเข่งและปูพรม ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน หรือการพักชำระหนี้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า มันแรงและยาว ดังนั้นการแก้ไขปัญหาก็จะไม่ใช่ปูพรม อย่างเมื่อพ้นวันที่ 22 ตุลาคม ที่มาตรการพักชำระหนี้เป็นการทั่วไปหมดลง เราให้ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดลูกค้า เป็นคนพิจารณาเองว่า ลูกค้ารายใดสมควรที่จะยืดอายุหนี้ออกไปอีก หรือรายใดสมควรที่จะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพราะหากประกาศเป็นมาตรการทั่วไป ผลข้างเคียงจะเยอะกว่า จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาแบบเหมาเข่งได้

ขณะนี้ผลกระทบหนักที่สุดคือภาคการท่องเที่ยว สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป จากปีก่อนมี 40 ล้านคน ขณะนี้ชัดเจนทั้งปีจะไม่ถึง 8 ล้านคน หายไป 1 ใน 5 หรือลดลงถึง 80%  ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 11-12% ของจีดีพี หากลดลง 80% ของสัดส่วน 11-12% หรือ จะทำให้จีดีพีของประเทสหายไปถึง 9.6% ถือว่าเป็นขนาดของหลุมที่หาย ใหญ่มาก

 

ดังนั้น หากจะต้องถมหลุมที่ใหญ่นี้ให้กลับมาเท่าเดิมได้ เราต้องเบ่งรายได้จากการท่องเที่ยวขึ้นอีกมาก เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวปีก่อนอยู่ที่  3 ล้านล้านบาท โดยมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งปีนี้หายไป 80% และนักท่องเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท และถ้าหวังจะมาเบ่งรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยก็คงทำได้ยาก ในภาวะที่รายได้ครัวเรือนลดลงเช่นนี้ 

 

“เศรษฐพุฒ”รับ ผลโควิด-19  กระทบเศรษฐกิจไทย แรงและยาว

 

ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน เข้ามาอยู่ไทยเฉลี่ย 9 วัน ใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาทต่อทริป หากจะต้องทดแทนกับ 80% ที่ลดลง จะต้องเบ่งแค่ไหนให้กับมาเท่าเดิมได้ จะให้อยู่ไทยเพิ่มจาก 9 วันเป็น 20 วัน หรือค่าใช้จ่ายต้องเพิ่มขึ้น 2 เท่าคือ 2 แสนบาทต่อทริปจึงจะกลับไปเท่าเดิมได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ขณะที่โอเวอร์ซพพลายท่องเที่ยวในระบบยังมีมหาศาล ยังมีเรื่องจ้างงาน ทั้งโรงแรม ร้านอาหารและค้าปลีก              

ภาคการท่องเที่ยวจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 20% ของการจ้างงานไทย ขณะที่การส่งออก แม้ว่าจะฟื้นตัวขึ้น แต่หากประเมินจาก 3 อุตสาหกรรมหลักในการส่งออกคือ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่า 50% ของการส่งออกรวม ยังมีการจ้างงานไม่ถึง 4% ของการจ้างงานทั้งหมด ดังนั้นกว่าที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาในระดับเดียวกับก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ต้องใช้เวลาถึง 2 ปีหรือในปี 2565

 

ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงิน ของธปท.จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนวทางการดำเนินงานจะเป็นการพยุง ไม่ใช้กระตุ้น เพราะการจะอัดให้เต็มหลุมนั้นยาก จึงเป็นการประคับประคอง   นโยบายของรัฐคือ ดูแลให้คนจับจ่ายใช้สอยได้  จึงอาจเป็นเหตุผลที่รัฐบาลเก็บวงเงินกู้ 4 แสนล้านบาทไว้ เพื่อตุนกระสุนไว้ในอนาคต เพราะยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ที่เราช่วยได้คือ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อลดภาระรายย่อย และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ให้พอไปได้ในภาวะที่รายได้ลดลง

“เศรษฐพุฒ”รับ ผลโควิด-19  กระทบเศรษฐกิจไทย แรงและยาว

 

"มาตรการที่จะออกมาจากนี้ ต้องเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นปูพรม มาเป็นตรงจุด แยกแยะระหว่างคนที่ถูกกระทบ และต้องมีความยืดหยุ่น เพราะว่า สถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องออกมาตรการที่ยืดหยุ่น และต้องครบวงจร ต้องมองข้างหน้า ระยะ 2 ปี เพราะการแก้ปัญหาใช้เวลานาน และเครื่องมือที่จะรองรับ 2 ปีหน้ามีอะไรบ้าง โจทย์ไม่ใช่แค่การพักชำระหนี้ แต่หลังจากนั้นต้องทำอย่างไรให้กระบวนการปรับโครงสร้างมันดี และต้องดูว่าเมื่อปรับโครงสร้างหนี้ ท้ายที่สุดจะต้องมีหนี้เสีย เราจะจัดการกับส่วนนี้อย่างไร"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผู้ว่าธปท.ชี้ “ไบเดน” ชนะเลือกตั้ง ดีต่อตลาดเงิน

ธปท. เร่งอนุมัติซอฟต์โลนแล้วกว่า 1.2แสนล้านบาทช่วยลูกหนี้กว่า 7.17หมื่นราย

ธปท.จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงชี้ทิศเศรษฐกิจไทย

ธปท.-แบงก์ เดินหน้าช่วยลูกหนี้ ดึงบสย. ค้ำประกันซอฟต์โลนเพิ่มเติม