คาด “เฟด” คงดอกเบี้ยที่ 0.0-0.25% ในการประชุม 4-5 พ.ย.นี้

03 พ.ย. 2563 | 22:51 น.

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 4-5 พ.ย.นี้ เป็นที่คาดหมายว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 0.0-0.25% จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยัง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% สำหรับการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในช่วง 2 วันนี้ (4-5 พ.ย.) เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 

เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันต่อการลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นลดลง โดยเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ยอดค้าปลีก และตัวเลขการจ้างงาน ทยอยปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐ ในไตรมาส 3/2563 น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/2563 อย่างมีนัยสำคัญ หลังจากมีการทยอยปลดมาตรการล็อกดาวน์

คาด “เฟด” คงดอกเบี้ยที่ 0.0-0.25% ในการประชุม 4-5 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยังได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐปี 2563 ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวเพียง -4.3% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะหดตัวถึง  -8.0% ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะใช้ระยะเวลายาวนานในการฟื้นตัว อย่างไรก็ดี มาตรการทางการเงินและการคลังต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินไปแล้วน่าจะเพียงพอต่อการประคองเศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้ให้อยู่ในกรอบที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เฟด-คลังสหรัฐจับมือ ร่วมกันพยุงเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด

คาดธนาคารกลางสหรัฐคงดอกเบี้ยใกล้ 0% ยาวถึงปี '66

 

นอกจากนี้ เฟดยังมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์นโยบายการเงินและเป้าหมายในระยะยาวในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation Targeting) แทนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเดิมที่คงที่ นั่นเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะคงดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ไปอย่างน้อยจนถึงปี 2566 ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่น่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น จึงเชื่อว่า เฟดน่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.0-0.25% และไม่น่าจะมีการออกนโยบายใหม่ ๆ เพิ่มเติมในการประชุมนโยบายการเงินครั้งนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังระบุว่า  สหรัฐมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย. ก่อนการประชุมนโยบายการเงินเพียง 1 วัน ดังนั้น เฟดมีแนวโน้มที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในการประชุมนโยบายเงินครั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้ ส่อเค้าที่จะนำมาซึ่งความวุ่นวายและการรับรองผลการเลือกตั้งอาจมีความยืดเยื้อ เนื่องจากประชาชนจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะเลือกตั้งผ่านทางไปรษณีย์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้

คาด “เฟด” คงดอกเบี้ยที่ 0.0-0.25% ในการประชุม 4-5 พ.ย.นี้

อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของนโยบายการคลังและการเงินในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเผชิญความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดนมีนโยบายที่ค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น ทรัมป์มีนโยบายที่จะลดภาษีเพิ่มเติมขณะที่ไบเดนมีนโยบายที่จะขึ้นภาษีเพื่อรองรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากไบเดนชนะการเลือกตั้งและพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา จะส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้โดยง่าย แนวโน้มขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งอาจหนุนให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ เร่งสูงขึ้นในระยะข้างหน้า อันจะก่อให้เกิดความท้าทายต่อการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ของเฟด

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเฟดจะยังไม่ลดระดับการผ่อนคลายทางการเงินและปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น หากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ซึ่งท่ามกลางความเสี่ยงที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเด็นทางการเมืองและประเด็นความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนแรง และน่าจะใช้ระยะเวลายาวนานมากขึ้นในการฟื้นตัว ขณะที่หากอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เฟดก็ยังคงมีทางเลือกในการใช้นโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve control) เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะในจังหวะเวลาช่วงต้นปีหน้า ทั้งประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในสหรัฐ และยุโรปเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะเกิดการแพร่ระบาดหนักขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐ ที่อาจจะมีการฟ้องร้องกันจนทำให้การรับรองผลการเลือกตั้งล่าช้าออกไป ตลอดจนการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ

 

ทั้งนี้ ในกรณีเลวร้ายที่ปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวะเวลาพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เลวร้ายลงไปกว่าปัจจุบันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในสหรัฐ ล่าสุดพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิน 8 หมื่นรายต่อวัน ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่รอบใหม่ยังไม่สามารถผลักดันออกมาได้ และหากเกิดกรณีที่การรับรองผลการเลือกตั้งล่าช้าออกไปหลังจากวันที่ 20 ม.ค. 2564 ซึ่งเป็นวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี จนทำให้สหรัฐเผชิญสุญญากาศทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง และไม่สามารถผลักดันมาตรการกระตุ้นได้ในช่วงต้นปีหน้า จะส่งผลให้แรงกดดันกลับมาอยู่ที่เฟดในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและประคองเศรษฐกิจสหรัฐให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้