อาชีพใหม่ หนีวัฏจัร “ข้าว-ปาล์ม” ราคาตก

“ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ” เป็นปัญหาที่เกษตรกรไทยต้องเผชิญซ้ำซากในทุกปีที่ผ่านมา ยิ่งปีไหนมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรจะลงมือเพาะปลูกกันเต็มที่ ยิ่งเสี่ยงราคาตกมากจากซัพพลายมากกว่าดีมานต์ จากปัญหาดังกล่าว ณ ปัจจุบันเกษตรกรในสินค้าเกษตรหลัก เช่น ข้าวและปาล์มน้ำมัน ที่ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาดเริ่มแตกไอเดียในการต่อยอดสร้างอาชีพใหม่เสริม นอกเหนือจากการทำนาและทำสวนปาล์ม หวังช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เพิ่มรายได้จากหลักหมื่น หลักแสน เป็นเงินล้านได้ชั่วข้ามวัน หากสามารถตอบโจทย์ และสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี

จิบกาแฟ เรียนรู้วิถีชาวนา

นายสามารถ อัดทอง เลขาธิการสมาคมผู้รวบรวมและจำหน่าย เมล็ดพันธุ์ข้าว กล่าวว่า  อาชีพรวบรวมและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นอีกอาชีพที่ต้องเผชิญความเสี่ยงในทุกปี อย่ามองว่าผู้ประกอบการมีแต่ได้กำไร ซึ่งในปีนี้ในภาพรวมขาดทุนกันหนักมาก จากต้องเดาใจชาวนาว่าจะปลูกข้าวพันธุ์อะไร ที่ผ่านมากำไรจากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ยตันละ 2,000 บาท แต่เวลาขายไม่หมด ขาดทุนตันละ 3,000-6,000 บาท ยิ่งเป็นพันธุ์ข้าวหอมมะลิจะขาดทุนตันละ 5,000-6,000 บาท ส่วนข้าวหอมปทุมธานีขาดทุนตันละ 3,000-4,000 บาท เพราะเมื่อขายเป็นเมล็ดพันธุ์ไม่ได้ก็ต้องนำไปขายเป็นข้าวเปลือกให้กับโรงสีเพื่อสีแปร ซึ่งข้อเสียของเมล็ดข้าวพันธุ์คือต้องตากให้แห้ง เมื่อไปส่งโรงสีข้าวจะป่น ทำให้โรงสีซื้อได้ไม่เต็มราคา

“จากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทุกปี ผมได้ตัดสินใจแตกไลน์เปิดร้านกาแฟ เป็นอาชีพเสริม ในชื่อ “ไร่แสนสุขคาเฟ่” ที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 แล้วปิดตามนโยบายล็อกดาวน์ของรัฐบาลช่วงโควิด ปัจจุบันได้กลับมาเปิดใหม่แล้ว ทั้งนี้จากสังเกตว่านาข้าว และเรื่องข้าว ปัจจุบันมีผู้คนให้ความสนใจจำนวนมาก ทำให้คิดว่าเด็กรุ่นหลังอาจจะไม่ทราบว่าการทำนาเป็นอย่างไร ซึ่งร้านกาแฟนี้ได้เปิดติดกับนาข้าว เพื่อที่ใครมาซื้อกาแฟและนั่งรับประทานขนมในร้าน จะได้เห็นกิจกรรมทำนาตลอดทั้งปี”

ทั้งนี้ทางร้านได้ใส่กิจกรรมเข้าไปมากกว่าการทำนา จากเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จะมีรายละเอียดมากกว่าการทำนาปกติ อาทิ การตัดหญ้า การถอนพันธุ์ข้าวปลอมปน เป็นต้น บางช่วงเก็บเกี่ยวจะมีชาวนามาลงแขกด้วย ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ที่มากับผู้ปกครองจะได้เห็นกิจกรรมเหล่านี้มากกว่าที่พบเห็นจากร้านกาแฟทั่วไป จะทำให้เกิดความรักและความหวงแหนในอาชีพทำนาของไทยต่อไป

“ปาล์มโมทีน”สร้างรายได้ใหม่ 

ด้าน นายอธิราษฎร์ ดำดี อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เล่าว่า จากราคาปาล์มน้ำมันที่ผันผวนในทุกปี จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิต และจำหน่ายวิสาหกิจชุมชนกระบี่น้ำมันปาล์มแดง ในแบรนด์ ปาล์มโมทีน(PALMOTEEN) ซึ่งเป็นน้ำมันปาล์มแดงสกัดจากธรรมชาติ 100% เพื่อสร้างรายได้เสริมใหม่ให้กับเกษตรกร

สำหรับการทำธุรกิจนี้ลงทุนแค่หลักแสนบาทก็เริ่มทำธุรกิจได้ โดยนำไปซื้ออุปกรณ์ที่จะลงทุนในครั้งแรก ได้แก่ หม้อนึ่ง หม้อต้ม เครื่องบด เครื่องบีบน้ำมัน และระบบการกรองน้ำมัน เป็นต้น โดยจะใช้ผลปาล์มสุกมาสับ แล้วนำมาโขลก และคั้นเอาแต่น้ำมัน แล้วนำไปต้มก็จะได้น้ำมันปาล์มปาล์มแดงสกัดจากธรรมชาติ

จากผลงานวิจัยทางการแพทย์ของมาเลเซียและต่างประเทศในเรื่องคุณค่าของน้ำมันปาล์มที่สกัดจากผลปาล์มสดด้วยวิธีความร้อนต่ำ จะมีวิตามินเอมากกว่าในแครอท 15 เท่า มีวิตามินอีโทรโคไตรีอีนอลมากกว่าในน้ำมันมะพร้าว 30 เท่า ช่วยบำรุงสายตา ดูแลผิวพรรณ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งชะลอวัย ลดอาการภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค

“ในต่างประเทศ จะเรียกว่า เป็น “ซุปเปอร์ฟู้ดส์” เป็นอาหารสุขภาพ ซึ่งสินค้าของทางกลุ่มได้รับรอง มอก.288 แล้ว ลำดับถัดไปจะขอรับรองมาตรฐานและตราฮาลาล ขอใบอนุญาตอาหารและยา (อย.) การขอรับรองมาตรฐาน GAP และมาตรฐานสวนปาล์มยั่งยืน (ISPO) เพื่อเปิดตลาดทั้งในและต่างประเทศในกลุ่มเป้าหมายคนรักสุขภาพทั้งใน ยุโรป อเมริกา และตลาดอื่นๆ ขณะเดียวกันหากใครสนใจจะทำธุรกิจ หรือเป็นตัวแทนขายก็สามารถติดต่อทางกลุ่มได้ ถือเป็นอาชีพและรายได้ใหม่ที่มีอนาคต”

หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,622 วันที่ 29-31 ตุลาคม พ.ศ. 2563