คาดกำไรบจ.ไตรมาส 3 ฟื้น

30 ต.ค. 2563 | 08:48 น.

บล.เอเซีย พลัส คาดกำไรบจ.ไตรมาส 3 ปี 2563 ฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 หลังหุ้นใหญ่หลายบริษัทประกาศผลงานเติบโตโดดเด่น มองกลุ่มโรงพยาบาลเป็นบวก จากการเตรียมขอลดวันกักตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 3 ปี 2563 มีการเติบโตที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2 สะท้อนได้จากหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทที่ประกาศกำไรงวดไตรมาส 3 ออกมาแล้วเติบโตเด่น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เช่น PTTEP เพิ่มขึ้น 66%, DELTA เพิ่มขึ้น 30% และ HMPRO เพิ่มขึ้น 39% เป็นต้น รวมถึงยังมีหุ้นที่เติบโตเด่นขึ้นหลายอุตสาหกรรม แบ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ กลุ่มเกษตร และ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มที่เติบโตเฉพาะไตรมาสต่อไตรมาสต่อเนื่อง คือ Media, ICT, ท่องเที่ยว และยานยนต์

นอกจากนี้ กลุ่มที่พลิกกลับมาเติบโตเด่น แบ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ กลุ่มอาหาร, การเงิน, อสังหาริมทรพย์ และเหล็ก ส่วนกลุ่มที่พลิกกลับมาเติบโตเฉพาะไตรมาสต่อไตรมาส คือ รับเหมาก่อสร้าง, ค้าปลีก และโรงพยาบาล 

ขณะที่ ความคืบหน้ากรณีสาธารณสุข เตรียมเสนอเรื่องการลดเวลากักตัวผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จากเดิม 14 วัน เหลือ 10 วัน ต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) นั้นเชื่อว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล โดยประเมินหนึ่งในกระบวนการผ่อนคลายอุปสรรคการขอเดินทางเข้ามารักษาของผู้ป่วยต่างชาติที่ยังมีค่อนข้างสูงในปัจจุบัน จนส่งผลกระทบการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติของกลุ่มโรงพยาบาลยังค่อนข้างช้า 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คาดว่าน่าจะมีการผ่อนคลายมากขึ้นในเรื่องข้อจำกัดปริมาณเที่ยวบินเดินทางเข้ามารักษาประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น ผ่านการอนุญาตให้เที่ยวบินต่างประเทศกลับมาบริการในรูปแบบ Semi-Commercial ซึ่งจะเป็นบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศ (Fly-in) สูง  ซึ่งได้รับผลกระทบการห้ามเดินทางเข้ามารักษา เพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ระบาด ได้แก่ BH ที่ 56%, BDMS ที่ 15%, PR9 ทีี 9% และ BCH ที่ 8%  จึงคาดหวังการฟื้นตัวกลุ่ม Fly-in ในปี 2564 ได้มากขึ้น 

ทั้งนี้ เชื่อว่าการฟื้นตัวคาดหวังที่ BDMS มากสุด เนื่องจากรายอื่นยังมีความเสี่ยงรอหักล้างประโยชน์อยู่โดยในส่วน PR9 และ BCH จะยังเห็นแรงหักล้างบางส่วนจากต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่นับจากช่วงกลางปี 2563 ขณะที่ BH และ BDMS อาจมีแรงกดดันความกังวลการแข่งขันจากโรงพยาบาลใหม่ Medpark ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างโรงพยาบาลมหาชัย M-CHAI ถือ 42%, กลุ่มแพทย์ที่เคยร่วมงานกับ BH และที่อื่นๆ ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยม แต่ผลกระทบหลักๆ จะมีต่อ BH มากกว่าBDMS ทั้งเป้าหมายฐานลูกค้า Medpark ค่อนข้างมุ่งเป้าหมายที่กลุ่มลูกค้าต่างชาติระดับบนเช่นเดียวกับBH มากกว่า เนื่องจากประสบการณ์ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล ส่วนกรณี BDMS ผลกระทบเชื่อว่าจำกัดกว่าสะท้อนจากจำนวนทีมแพทย์ BDMS ที่ถูกดึงตัวไปเพียงราว 40 ราย จากทั้งหมด 12,000 ราย