หุ้นโรงแรมฟุบยาว

30 ต.ค. 2563 | 07:05 น.

หุ้นกลุ่มโรงแรมยังไม่ฟื้น แม้เปิดรับนักท่องเที่ยว STV เผยตั้งแต่ต้นปีถึง 26 ตุลาคม 2563 ผลตอบแทนลดลง 31.50% โบรกมองซึมยาวจนกว่าท่องเที่ยวจะเป็นปกติในปี 2566 

“การท่องเที่ยว” ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเราต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว 2 ใน 3 ของรายได้ประเทศ แต่หลังจากที่มีมาตรการ Lockdown เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19  เกิดการปิดน่านฟ้าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทำให้กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างหนัก   

 

จากนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ซึ่งกลุ่มแรกเดินทางเข้ามาแล้ว 41 คน ส่วนกลุ่มที่ 2 ประมาณ 100 คน ส่งผลให้เกิดความคาดหวังของหุ้นกลุ่มโรงแรมที่อาจจะได้รับผลประโยชน์จากการเข้าพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จากการที่มีหนี้ค่อนข้างสูง 

 

รายงานข่าวจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ดัชนี หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ปรับลดลง 150.09 จุด หรือ -31.50% อยู่ที่ 326.35 จุด จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 476.44 จุด ลดลงมากกว่าดัชนีหุ้นไทยที่ลดลงจากต้นปี 371.87 จุด หรือ -23.53% อยู่ที่ 1,207.97 จุด จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1,579.84 จุด

 

ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)ของ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ลดลง 32,767.86 ล้านบาท อยู่ที่ 71,243.97 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 104,011.83 ล้านบาท

หุ้นโรงแรมฟุบยาว

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ ตลท. พบว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2563 การซื้อขายของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ปรับลดลงทุกราย โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงมากที่สุด คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) ลดลง 59.66%, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SHR) ลดลง 42.72% และบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL) ลดลง 21.20% ส่วนบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร แต่มีธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ ลดลง 49.80% 

 

ขณะที่ มาร์เก็ตแคป ERW ลดลง 8,937.24 ล้านบาท อยู่ที่ 6,042.08 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 14,979.32 ล้านบาท, SHR ลดลง 4,851.41 ล้านบาท อยู่ที่ 6,504.49 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 11,355.90 ล้านบาท และ CENTEL ลดลง 7,155.00 ล้านบาท อยู่ที่ 26,595.00 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 33,750.00 ล้านบาท ส่วน MINT ลดลง 74,039.26 ล้านบาท อยู่ที่ 92,244.90 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 166,284.16 ล้านบาท

 

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า ช่วงครึ่งหลังปี 2563 คาดการณ์ กลุ่มโรงแรม จะขาดทุนต่อเนื่องจากรายได้ยังคงมาจากนักท่องเที่ยวภายในประเทศเพียงแหล่งเดียว แต่จะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยที่โรงแรมบางแห่งกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3 หลังจากที่ปิดเกือบทั้งหมดในไตรมาส 2 แต่คาดว่าการฟื้นตัวจะถูกกดดันต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีแรกปี 2564 หรือจนกว่าจะได้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ทำให้ยังคงแนะนำ “Underweight” กลุ่มโรงแรมไปจนกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาปกติในปี 2566

นอกจากนี้คาดว่า กลุ่มโรงแรมจะรายงานผลขาดทุนราว 5,600 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายคงที่สูง รวมถึงอัตราการเข้าพักฟื้นตัวช้า และธุรกิจร้านอาหารอาหาร เช่น MINT และ CENTEL จะได้รับปัจจัยบวกจากการคลายล็อกดาวน์ แต่การบริโภคที่อ่อนแอจะยังคงเป็นปัจจัยที่กดดัน 

 

ทั้งนี้คาดว่า MINT จะมีผลขาดทุนสูงสุดที่ 4,900 ล้านบาท การดำเนินงานในออสเตรเลียและยุโรปมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้น ส่วน ERW จะเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากไม่มีธุรกิจอื่นรองรับทำให้มีผลขาดทุนประมาณ 300 ล้านบาทต่อไตรมาส และ CENTEL ธุรกิจอาหารมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงมีผลขาดทุนประมาณ 450 ล้านบาท

 

ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า หลังจากประเทศไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวจีน 41 คนที่ยอมกักตัวเป็นเวลา 14 วันและอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 90 วัน อาจดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน 10 ล้านคนที่เคยมาเยือนประเทศไทยในปี 2562 แต่ยังกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบันที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้และอาจใช้เวลาในการแก้ไข นอกจากนี้ ERW ยังมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษเพราะอยู่ในพื้นที่ประท้วงหลักในกรุงเทพฯ 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบจากการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย

จ่อปรับเกณฑ์ "เราเที่ยวด้วยกัน" กระตุ้นท่องเที่ยว รัฐยอมควัก 40%

"ชัยชนะของทรัมป์จะหนุนหุ้นสหรัฐ แต่ฉุดราคาสินทรัพย์เอเชีย”

TTA จ่อขายหุ้นกู้ 1,650 ลบ.ดอกเบี้ย 5% วันที่ 30 พ.ย.-2 ธ.ค.

หน้า 14 หนังสือฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,622 วันที่ 29 - 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563