"หมอธีระ"แนะรัฐฯป้องกันไม่ให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น

25 ต.ค. 2563 | 08:32 น.

"หมอธีระ"ย้ำชัด โควิดไม่ใช่โรคประจำถิ่นของไทย แต่ติดง่าย ตายได้ พร้อมแนะรัฐพยายามป้องกันไม่ให้ประเทศกลายไปเป็นแดนดงโรค


วันที่ 25 ตุลาคม 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสต์บทความเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 ในประเทศไทย โดยเผยว่า 1. จำนวนเคสติดเชื้อที่ตรวจพบอยู่ทุกวัน ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ระบบสุขภาพก็จำเป็นต้องดูแลรักษา ทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ก็จะถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่องและร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ทั้งห้อง เตียง ยา อุปกรณ์ และอื่นๆ ต้องระวังให้ดีหากเกิดระบาดซ้ำขึ้นมา


2. ความหมายของ"โรคประจำถิ่น" หรือ endemic disease นั้น แปลว่า ในพื้นที่นั้นๆ เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นแดนดงโรค หรือเป็นพื้นที่ที่หากเดินทางเข้าไปแล้ว จะมีโอกาสเป็นโรคนั้นได้มากกว่าพื้นที่อื่น และจะมีข้อมูลทางระบาดวิทยาที่เห็นชัดเจน คาดการณ์ได้ว่า จะมีคนเป็นโรคนี้อยู่เป็นประจำ เช่นจะมีจำนวนเท่านี้ต่อปี หรือต่อฤดูกาล เป็นต้น


การจะประกาศว่าโรคใดเป็นโรคประจำถิ่นได้นั้น มักเกิดจากหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องกัน ได้แก่ การมีโรคนั้นกระจายในประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก ยาวนาน และ/หรือมีแหล่งรังโรค เช่น สัตว์ที่เป็นพาหะ จนทำให้มีเชื้ออาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่างยาวนานถาวร เป็นต้น


หากพิจารณาให้ดี ประเทศไทยเราขณะนี้ยังไม่ได้มีการระบาดวงกว้างอย่างยาวนาน 
 

 

ไวรัสโควิดนี้ได้รับการวิจัยแล้วพบว่า จะสามารถแพร่จากคนไปสู่สัตว์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข และแมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่นิยมในประเทศ ทั้งนี้ตอนนี้มีความรู้จากการวิจัยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แมวที่ติดเชื้อจะแพร่ไปแก่แมวตัวอื่นๆ ได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนที่จะพิสูจน์ว่ามีการติดจากแมวสู่คน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม หากใครไม่สบาย ก็ควรเลี่ยงการไปคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง จะได้ป้องกันการแพร่ให้แก่กัน


ดังนั้น ณ ปัจจุบัน หากตามสถานการณ์มาตลอด เราจะพบว่า"โควิดจึงไม่ใช่โรคประจำถิ่น" ของประเทศไทย!!!


ใครไปประกาศว่าเป็นโรคประจำถิ่น ก็ควรได้รับการตรวจสอบถึงวัตถุประสงค์ และนำไปปรับพฤติกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม
สิ่งที่รัฐทำได้ และควรทำคือ การพยายามอย่างยิ่งยวด ทุกวิถีทาง ที่จะป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายไปเป็นแดนดงโรค ที่มีโรค COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น


เพราะหากกลายไปเป็นแดนดงโรคแล้ว ก็เป็นการตีตราพื้นที่ของเราว่าเข้ามาแล้วมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าไปที่อื่นที่ไม่ใช่แดนดงโรค กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ และแน่นอนย่อมกระทบต่อเรื่องการท่องเที่ยวในระยะยาว


แม้โอกาสที่ไทยจะรอดจากการเป็นแดนดงโรคนั้นอาจมีไม่มากนัก เพราะโรค COVID-19 ระบาดทั่วโลกอย่างรุนแรง แต่ก็ใช่ว่าโอกาสจะเป็น 0 เพราะมีอีกหลายต่อหลายประเทศที่ควบคุมโรคได้ ระบาดน้อยกว่าไทยด้วยซ้ำ และเค้าก็ยังยืนยันที่จะป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่
 

ไม่ต้องบอกก็ทราบกันดีว่า การป้องกันไม่ให้กลายไปเป็นแดนดงโรคนั้น ประกอบด้วยแนวทางสำคัญคือ


หนึ่ง ไม่รนหาที่ ไม่แส่หาเรื่อง ด้วยการเปิดอ้าซ่าให้มีเชื้อจากที่ต่างๆ ที่มีการระบาดเข้ามาในประเทศ และหากจำเป็นต้องเปิด ก็ต้องขันน็อตระบบคัดกรองกักตัวให้มีมาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัย


ไม่ใช่ทำทุกทางที่จะหาเงิน ล่อให้คนต่างชาติเข้ามาเยอะๆ แถมจะลดวันกักตัวลงให้น้อยลงไปเรื่อยๆ โดยอาจต้องแลกกับความเสี่ยงต่อการเล็ดรอดของเชื้อเข้ามาสู่สังคม


สอง ต้องกระตุ้น หนุน เสริม ให้ประชาชนในประเทศรับรู้สถานการณ์ที่ถูกต้อง ตื่นตัว ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด


ไม่ใช่ประกาศว่า "การติดเชื้อเป็นเรื่องปกติ" ซึ่งขัดต่อหลักวิชาการและความเป็นจริงที่ว่า โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และยาที่มีใช้ในการรักษานั้นมีจำกัดมาก ติดง่าย ตายได้ และการประกาศดังกล่าวจะยิ่งทำให้คนรับรู้ถึงความเสี่ยงลดลง และลดการ์ดลงได้ จนทำให้เกิดผลกระทบตามมาในวงกว้าง


ยืนยันอีกครั้งให้ได้ยินกันชัดๆ ว่า..."...โควิด ไม่ใช่โรคประจำถิ่น..."หากไม่รนหาที่ หรือตั้งใจที่จะตั้งธงไว้ให้ประเทศกลายไปเป็นแดนดงโรค


"...โควิดนั้น การติดเชื้อไม่ใช่เรื่องปกติ..." คนปกติเค้าไม่ติดกัน ติดแล้วเจ็บป่วยและตายได้ 


ขอให้ประชาชนไทยทุกคน ทราบความจริงว่า สถานการณ์ปัจจุบันเสี่ยงสูงมากที่จะระบาดซ้ำ หากเกิดขึ้น ประเทศอื่นๆ แสดงให้เราเห็นแล้วว่า เร็ว แรง หาต้นตอลำบาก คุมยาก ใช้เวลานานกว่าเดิม 


ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันป้องกันตัวเองให้ดี...ใส่หน้ากากเสมอนะครับ...และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบาย ให้หยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจ...ด้วยรักต่อทุกคน