เปิดหนังสือนายกฯ ร่ายยาว“ม็อบ”กระทบบริหารราชการแผ่นดิน

22 ต.ค. 2563 | 07:39 น.

นายกฯส่งหนังสือถึงประธานรัฐสภา ขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ร่ายยาวเหตุการณ์ชุมนุม ส่งผลกระทบการบริหารราชการแผ่นดิน

 


วันนี้ (22 ต.ค.63) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึง ประธานรัฐสภา เรื่อง ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 


ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ว่าบัดนี้มีปัญหาสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีข้อเท็จจริงของปัญหาดังนี้ 


ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด 2019 ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ก่อนแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อดังกล่าว โดยมีสถิติผู้ป่วยติดเชื้อตลอดจนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศทุกวัน 


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการที่ห้าม หรือควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของนักเดินทาง จากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาลงทุนทางธุรกิจ ท่องเที่ยว หรือใช้บริการสาธารณสุขในประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณา 


ขณะเดียวกันได้มีผู้นัดชุมนุมกันในทางการเมืองตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ในลักษณะแออัดประชิดตัวอยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับมีฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากจนเกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัด สถานการณ์เช่นนี้ทําให้ฝ่ายสาธารณสุขเกรงว่าอาจเกิดโรคระบาดได้ง่าย เพราะประชาชนจะขาดความระมัดระวังในการป้องกันโรค ที่เหมาะสมเพียงพอ จึงอาจกระทบต่อการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคและความเชื่อมั่นของผู้จะเดินทาง เข้ามาในประเทศได้
 


 

 

2.การชุมนุมยังคงมีต่อเนื่องตลอดมาโดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 จนเกิดเหตุอันไม่คาดคิดขึ้น เมื่อปรากฏว่าในวันดังกล่าวมีหมายกําหนดการเสด็จพระราชดําเนินไปในการตั้งเปรียญ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และการพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอารามต่าง ๆ 4 แห่ง คือวัดราชโอรสาราม วัดอรุณราชวราราม วัดมกุฏกษัตริยาราม และวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม 
ในขณะที่ขบวนเสด็จพระราชดําเนิน ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ เคลื่อนไป ตามถนนพิษณุโลก อันเป็นเส้นทางตรงขึ้นทางด่วนมุ่งไปยังวัดราชโอรสาราม ฝั่งธนบุรี กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้ ขวางทางและหยุดขบวนเสด็จพระราชดําเนิน กลุ้มรุมล้อมรถพระที่นั่งและมีผู้ตะโกนด้วยถ้อยคําหยาบคายรุนแรง แสดงอาการไม่สมควรและเป็นการคุกคามเสรีภาพของผู้อยู่ในขบวนเสด็จพระราชดําเนินและผู้ถวาย การอารักขา ผู้ชุมนุมได้พักค้างคืน ณ บริเวณทําเนียบรัฐบาล ซึ่งใกล้กับบริเวณอันเป็นเขตพระราชฐานที่ประทับ และเส้นทางที่จะมีการเสด็จพระราชดําเนินในวันต่อ ๆ ไป ทั้งการชุมนุมส่อว่าจะยืดเยื่ออันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 และอาจมีผู้ฉวยโอกาสแทรกเข้าก่อความวุ่นวายได้ แม้บางส่วนจะร่วมชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อยก็ตาม 


ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและระงับยับยั้งความรนแรง อันอาจกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล นายกรัฐมนตรีจึงอาศัยอํานาจตามมาตรา 5 และ มาตรา 13 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 04.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ให้ความเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าวเป็นเวลา 30 วันจนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
3. แม้เจ้าหน้าที่ตํารวจจะพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์และควบคุมตัวบุคคลบางคน ในกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีบทบาทสําคัญในการยุยงและก่อให้เกิดการกระทําความผิด แต่การชุมนุมยังคงมีขึ้น ในเวลาต่อมาที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ สี่แยกปทุมวัน และแยกย้ายเป็นกลุ่มไปตามที่ชุมนุมขนต่าง ๆ ศูนย์กลางธุรกิจการค้า และสถานีขนส่งผู้โดยสารอีกหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งในต่างจังหวัด จนน่าวิตกว่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย การคมนาคม และเศรษฐกิจในบริเวณใกล้เคียง 

 


เจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้เตือน ห้ามปราม และพยายามหยุดยั้งการชุมนุมที่แม้จะมีเสรีภาพและได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 54 วรรคแรก ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่การใช้อํานาจหน้าที่ของรัฐเข้าควบคุมการชุมนุม ที่ผิดกฎหมายก็เป็นข้อยกเว้นการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามที่มาตรา 44 วรรคสองกําหนดให้ทําได้ แต่เมื่อไม่เป็น ผลสําเร็จเจ้าหน้าที่จึงต้องใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าสกัดและเรียกคืนพื้นที่อันเป็นขั้นตอนการควบคุมฝูงชน ตามมาตรการสากลที่ใช้ในนานาประเทศ เมื่อคืนวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ณ บริเวณถนนพระรามที่ 1 ใกล้สี่แยกปทุมวัน 


อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมยังสามารถนัดแนะทางสื่อต่างๆ เพื่อชุมนุมกันต่อมาอีกหลายครั้ง โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ปล่อยตัวผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตํารวจควบคุมตัว และศาลยกคําร้อง ที่ขอประกันตัว การยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ยุบสภาผู้แทนราษฎร แก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งข้อเรียกร้องบางเรื่องอยู่ระหว่าง การดําเนินการอยู่แล้ว 


แม้การชุมนุมบางครั้งและบางแห่งจะเป็นระเบียบและสงบเรียบร้อย แต่บางแห่งยังคง มีการจาบจ้วงบุคคลอื่น การทําลายพระบรมฉายาลักษณ์อันเป็นทรัพย์สินของทางราชการ และการก่อความชุลมุนวุ่นวาย นับเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย และไม่อยู่ในความมุ่งหมายของเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ทั้งน่าวิตกว่าอาจมีบางฝ่ายแฝงตัวเข้ามาฉวยโอกาสใช้อาวุธหรือก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย และอาจมีฝ่ายอื่น ที่เห็นต่างกันหรือได้รับผลกระทบจากการชุมนุมออกมาจัดการชุมนุมเพื่อตอบโต้หรือต่อต้านบ้าง จนเกิดการปะทะกันอันจะเป็นการจลาจลในบ้านเมืองได้ 


คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้ เป็นปัญหาสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน จึงสมควรฟังความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยการเปิด อภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดําเนินการต่อไป จักเป็นพระคุณยิ่ง

    เปิดหนังสือนายกฯ ร่ายยาว“ม็อบ”กระทบบริหารราชการแผ่นดิน    เปิดหนังสือนายกฯ ร่ายยาว“ม็อบ”กระทบบริหารราชการแผ่นดิน