ทุ่มงบกว่า 550 ล้านสร้างคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3

21 ต.ค. 2563 | 10:05 น.

“ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่” ทุ่มงบกว่า 550 ล้านสร้างคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3 ความจุกว่า 8,700 ตัน

นายนพวงศ์ โอมาธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและบริหารองค์กร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบในการลงทุนก่อสร้างกว่า 550 ล้านบาท ในการขยายศักยภาพคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3  เพื่อเป็นการสนองนโยบายของกรมธุรกิจพลังงานที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี (LPG) มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% (3 วัน) เป็น 2% (7 วัน) ของปริมาณการค้าประจำปี

ทั้งนี้  เพื่อเสริมความมั่นคงระบบพลังงานไทย และรองรับการเปิดเสรีธุรกิจในอนาคต ควบคู่กับการเสริมศักยภาพของซัพพลายเชนให้พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานของไทยครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีการเพิ่มความจุในเฟส 3 กว่า 8,700 ตัน โดยจะส่งผลให้คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกงกลายเป็นคลังก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ด้วยความจุรวมทั้ง 3 เฟสกว่า 13,015 ตัน 

ทุ่มงบกว่า 550 ล้านสร้างคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3

สำหรับคลังเก็บก๊าซบางปะกงใช้เทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและทันสมัย คำนึงถึงการดำเนินการที่มีความปลอดภัยสูงสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14000 และ ISO 45001 ทั้งในด้านการกักเก็บ การบรรจุ และการขนส่ง คลังแห่งนี้ยังมีความโดดเด่นตรงทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำบางปะกง รองรับการขนส่งก๊าซทางเรือจากอ่าวไทยได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการรับ และกระจายสินค้าของบริษัทสู่ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกของประเทศไทย 

รวมถึงเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับแผนการในการกระจายสินค้าทางเรือในอนาคต เอื้อต่อการกระจายสินค้าเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึง ทั้งในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม พาณิชย์กรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงทำให้บริษัทมีศักยภาพในการแยกเก็บก๊าซโดยแยกตามคุณภาพตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้มากขึ้น โดยคาดว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการฝากสำรองก๊าซของบริษัทในปัจจุบันได้  

“การเพิ่มศักยภาพในการขยายคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3 นี้ จะสามารถเพิ่มศักยภาพของซัพพลายเชนในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมและรวดเร็วทันต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงเป็นการช่วยในเรื่องการบริหารค่าใช้จ่ายของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องของการขนส่ง และการฝากสำรองก๊าซ ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้กับบริษัท”

นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เป็นต้นแบบของผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นไปตามกฎข้อบังคับและนโยบายของกรมธุรกิจพลังงานและภาครัฐ ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ปริมาณก๊าซของผู้ค้าก๊าซแอลพีจีในระบบพลังงานไทยมีความมั่นคงมากขึ้น

นายนพวงศ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ มีคลังเก็บและจ่ายก๊าซ ทั้งหมด 5 แห่งทั่วประเทศ ความจุรวม18,341 ตัน  ประกอบด้วย 1.คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง (ฉะเชิงเทรา) ครอบคลุมพื้นที่ภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก ความจุ 13,015 ตัน ,2.คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางจะเกร็ง (สมุทรสงคราม) ครอบคลุมพื้นที่ภาคตกวันตกและภาคใต้ตอนบน ความจุ 1,800 ตัน 

,3.คลังเก็บและจ่ายก๊าซขอนแก่น ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความจุ 1,980 ตัน  ,4.คลังเก็บและจ่ายก๊าซลำปาง ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ความจุ 186 ตัน  และ5.คลังเก็บและจ่ายก๊าซพิจิตร ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ความจุ 1,360 ตัน