เสียวจังยักษ์ใหญ่ “กระดาษเครือปูนซิเมนต์”

21 ต.ค. 2563 | 01:00 น.

เสียวจังยักษ์ใหญ่ “กระดาษเครือปูนซิเมนต์” : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3620 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 22-24 ต.ค.2563 By..เจ๊เมาธ์

 

@@@ การชุมนุมประท้วงแบบ “แฟลชม็อบ” หรือ “ม็อบดาวกระจาย” เป็นการชุมนุมแบบไม่ค้างคืน ไม่ยึดที่ใดที่หนึ่งเป็นฐานที่มั่น เป็นเรื่องที่ทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบปัญหาในการรับมือและบริหารจัดการสถานการณ์ จนเรียกได้ว่าตึงมือพอสมควร ...ถึงแม้ “แฟลชม็อบ” นี้ จะมีต้นกำเนิดจากการประท้วงขับไล่ อดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส แห่งประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่รูปแบบของการชุมนุม วัยของผู้ชุมนุม...ตลอดจนถึงกลยุทธ์ในการชุมนุมของไทยในปัจจุบัน ดูเหมือนจะลอกแบบมาจากการประท้วงที่ฮ่องกงเกือบ ๆ 100% เพียงแต่การชุมนุมในประเทศไทย ยังไม่เกิดความรุนแรงจากกลุ่มผู้ชุมนุมเหมือนที่เกิดขึ้นในฮ่องกงเท่านั้นเอง
 

@@@ “ฮ่องกงโมเดล” ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในส่วนของกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้น ภาครัฐเอง ก็ได้นำสิ่งที่เรียนรู้มาจากการบริหารจัดการม็อบแบบ “ฮ่องกงโมเดล” มาประยุกต์ใช้ได้เช่นเดียวกัน
 

@@@ แม้ว่าการชุมนุมประท้วงจะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นที่ มักจะอ่อนไหวกับเรื่องในทำนองนี้ ก็จะได้รับผลกระทบก่อนใคร แต่สำหรับประเทศไทย ...เราได้ผ่านเรื่องของวิกฤติการณ์ทางการเมืองในทำนองนี้มาแล้วหลายรอบในหลายยุคหลายสมัย

@@@ ดังนั้นจึงอาจประเมินได้ว่า ถึงแม้ว่าการชุมนุมในรอบนี้ จะซ้ำเติมประเทศให้บอบช้ำเพิ่มขึ้นจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 แต่ก็ไม่ทำให้ประเทศต้องประสบปัญหามากจนเกินจะเยียวยาอย่างแน่นอน เพียงแต่...ถ้าไม่มีปัญหา หรือสามารถบริหารจัดการได้ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซ้อนในวิกฤติ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีกว่า ขึ้นชื่อว่าวิกฤติหรือปัญหา แต่ถ้าไม่มี....น่าจะดีกว่าค่ะ
 

@@@ ผลกระทบจากการชุมนุมรอบนี้ กระทบสิค่ะ การเดินทางโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (BEM) ที่ต้องปิดชั่วคราว ภายใต้การบังคับใช้ พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ...มีการประเมินว่า ในกรณีที่หยุดรถไฟฟ้าทั้งกระบวนใน 1 วัน จะส่งผลกระทบกับรายได้ของ BTS ที่ราว ๆ  -0.5% ถึง -0.6% ซึ่งถ้าหากเริ่มนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการแพร่เชื้อ Covid-19 ก็จะเห็นว่าที่ 2 บริษัทได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของทั้ง BTS และ BEM ต่างก็กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยของคนเมืองไปเรียบร้อยแล้ว และถึงแม้รายได้บางส่วนจะหายไปบ้าง แต่ก็ไม่กระทบกับทั้งสองบริษัทในระยะยาวแต่อย่างใด เพราะถ้าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ...รายได้ของทั้ง BTS และ BEM ก็จะกลับเป็นปกติได้เหมือนกัน  ....ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงมองหุ้นทั้งสองว่า เป็นโอกาสที่จะสะสมหุ้นได้ด้วยการแบ่งไม้เพื่อทยอยเก็บ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เก็บได้ตลอดเวลานะคะ หาโอกาสและจังหวะที่ดีให้ได้ด้วยค่ะ
 

@@@ อีกผลกระทบของการชุมนุม ที่เกิดกับตลาดหุ้นก็คือ หุ้น IPO ปรับตัวกันแทบไม่ทันค่ะ คึกคักอยู่ดีๆ หงอยเหงาซะงั้น หุ้นเล็กที่เคยดีดเป็นม้าเปิดพุ่ง 100% เหลือแค่หลักสิบ ยังไม่เท่าไรค่ะ หุ้นขนาดใหญ่ SCGP บริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย หุ้นใหญ่ขาย IPO ไซด์หลายหมื่นล้านบาท มีเสียวแน่นอนค่ะวันที่ 22 ต.ค.นี้ ราคาจองซื้อสูงสุด 35 บาท จะเปิดต่ำซ้ำรอยหุ้นใหญ่ AWC และ CRC หรือไม่นั้น เจ๊เมาธ์ไม่การันตีค่ะ ดูจากธุรกิจแพ็คเก็จจิ้ง บรรจุภัณฑ์กระดาษ เฉย ๆ ไม่ใช่ถุงมือยาง ยุคโควิด ซะเมื่อไร

@@@ หุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK SCB และ BBL ถูกกดราคามานาน ถ้านับราคาที่เคยสูงสุดในรอบปีของหุ้นแต่ละตัว เห็นได้ว่า ลงมาต่ำกว่า 50% ไปแล้วทั้งนั้น ในขณะที่ค่า P/E ของหุ้นทุกตัวต่างก็ปรับลงมาต่ำกว่า 6.5 เท่าด้วยกันทุกตัว จนเป็นสาเหตุที่ทำให้มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของหุ้นธนาคารใหญ่เหล่านี้ สูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน
 

@@@ ดังนั้น ถ้าพิจารณาการลงทุนในหุ้น จากราคาหุ้นพื้นฐาน เจ๊เมาธ์ มองว่า หุ้นกลุ่มธนาคาร ยังเป็นหุ้นที่ดี ถึงจะมีเรื่องขาดทุนเข้ามารบกวนบ้าง ...แต่อย่างน้อยไม่มีการขาดทุนจริงๆ ให้เห็น เผลอๆ เข้าถูกจังหวะดี ๆ ถึงจะไม่รวยเหมือนพวกหุ้น “สิบเด้ง” แต่อย่างน้อยก็สบายใจ  จำไว้ว่า “หุ้น” ถึงจะดีแค่ไหน...ก็มีความเสี่ยงค่ะ
 

@@@ หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นหุ้นที่โดดเด่น  DELTA ซึ่งเคยเป็นหุ้นตัวนำที่ดึงให้หุ้นในกลุ่มให้โดดเด่นขึ้นมา ทั้ง  KCE HANA และ SVI  ...ตอนนี้ถึงเวลาที่ DELTA เริ่มพักฐานราคาไปแล้ว  แต่หุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่ม ไปต่อนะคะ ...นาทีนี้โดดเด่นที่สุด เป็นหุ้น SVI ที่ไล่ราคาเกือบๆ 30% ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่สุดท้ายก็ยังมีจุดอ่อนในเรื่องของพื้นฐานอยู่นะคะ  .... นักวิเคราะห์ หลายสำนักมองตรงกันว่า ราคาหุ้น SVI วิ่งเกินราคาพื้นฐานปี 2564 ไปไกล .... บล.เคจีไอ ให้เป้าหมาย 4.80 บาท ส่วน บล.โนมูระ ให้เป้า 4.50 บาท เท่านั้นค่ะ นักลงทุนที่จะตามราคา ต้องระวังนะคะ...พลาดมาแล้วอย่าหาว่าเจ๊เมาธ์ไม่เตือนน๊า
 

@@@ หลังจากที่ GULF เพิ่มทุน 1.06 พันล้านหุ้น ที่ราคา 30 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินราว ๆ 3.2 หมื่นล้านบาท จบไปเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่จบคือ ราคาหุ้นหน้ากระดาน 32.50 บาท ในวันเพิ่มทุน ถึงวันนี้ ก็ค่อย ๆ ปรับตัวลงมาจนต่ำกว่าราคาเพิ่มทุนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหามองราคาหุ้นผ่านทางกราฟเทคนิค จะเห็นว่า ราคาหุ้นของ GULF ไม่ว่าจะเป็น RSI MACD EMA (15, 45, 100) ซึ่งเป็นดัชนีพื้นฐานทางเทคนิคหลุดไปทั้งหมด มีโอกาสที่ราคาหุ้นของ GULF อาจจะต้องพักตัวไปอีกระยะหนึ่ง อาจจะนานไปถึงการแจ้งผลการดำเนินงานที่สร้างกำไรอย่างโดดเด่น หรือมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่น่าสนใจโน้นเลยค่ะ ตอนนี้นั่งเฉยๆ ดูไปก่อนนะคะ...ไม่จำเป็นต้องรีบค่ะ