ชาวอเมริกันแห่ลงคะแนน “เลือกตั้งล่วงหน้า” มากเป็นประวัติการณ์

19 ต.ค. 2563 | 03:14 น.

ชาวอเมริกันที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมีความตื่นตัวกับศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้อย่างมาก จนมีผู้คนตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าสูงเป็นประวัติการณ์

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน การใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกา ในขณะนี้ว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ จำนวนกว่า 17 ล้านคนได้ใช้สิทธิ์เลือกผู้นำประเทศในปีนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา และนี่ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดของการลงคะแนนเสียงล่วงหน้าในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน

ชาวอเมริกันแห่ลงคะแนน “เลือกตั้งล่วงหน้า” มากเป็นประวัติการณ์

รายงานข่าวระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากแรงผลักและความกระตือรือร้นของฝั่งพรรคเดโมแครต และความกลัวการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงที่วิกฤตสาธารณสุขนี้ยังดำเนินอยู่และส่งผลให้วิถีการลงคะแนนเสียงของชาวอเมริกันต้องเปลี่ยนแปลงไป

 

รายงานข่าวระบุว่า ณ เช้าวันศุกร์ (16 ต.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ สัดส่วนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงไปแล้ว คิดเป็น 12% ของจำนวนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศในปี 2559 แม้ว่าในเวลานี้ ยังมีอีก 8 รัฐ ที่ยังไม่ได้รายงานตัวเลขออกมา และผู้มีสิทธิ์ใช้เสียงยังมีเวลาอีกกว่า 2 สัปดาห์ที่จะลงคะแนนล่วงหน้า

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใกล้ดีเบตรอบสุดท้าย 22 ต.ค. ทรัมป์ทวีตเดือดเปิดแผลไบเดน

"ทรัมป์"ตอบตกลงดีเบตรอบ 2 กับ"ไบเดน" 22 ต.ค. 

ดีเบตยกแรก "ทรัมป์ VS ไบเดน" ใครนำ ใครตาม รอลุ้น

CNN ชี้ดีเบตรอบแรก “ไบเดน” นำ “ทรัมป์”

 

แนวโน้มเช่นนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้งหลายรายเชื่อว่า ในปี 2563 นี้ จะมีชาวอเมริกันใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งถึง 150 ล้านคน ซึ่งถ้าเป็นจริง จะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 หรือ พ.ศ. 2451 เป็นต้นมาด้วย

สำนักข่าวเอพีของสหรัฐอเมริกายังมีรายงานด้วยว่า จากการเก็บข้อมูลแสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าระหว่างผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันนั้นมีสัดส่วนที่ไม่เท่ากันที่ 2 ต่อ 1

 

เหตุการณ์เช่นนี้ เป็นสถานการณ์ที่พรรครีพับลิกันเตรียมใจรับมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พร่ำบอกมาเสมอว่า การส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ทำให้เกิดการโกงการเลือกตั้งมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม พรรคเดโมแครตยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่า คะแนนเสียงของตนจะชนะพรรครีพับลิกันหลังปิดหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย. และมีการนับคะแนน เพราะทั้งสองพรรคคาดว่า ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันจำนวนมากจะแห่กันไปที่หน่วยเลือกตั้งในวันจริงเพื่อใช้สิทธิ์ ซึ่งอาจพลิกกลับสถานการณ์ได้